หลังจากนักแต่งเพลงชื่อดัง บอย โกสิยพงษ์ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเสนอให้ปิดใช้เน็ตในไทย 10 ปี ทำเอาในเวลาต่อมาทัวร์ลงแบบเบิ้ม ๆ จนต้องลบโพสต์ดังกล่าวหลังถูกชาวเน็ตเข้ามาโจมตีอย่างหนัก ซึ่งโพสต์ดังกล่าวของ บอย โกสิยพงษ์ ระบุว่า หลายๆ ทีผมก็ชอบคิดว่า ถ้าประเทศเราหยุดการให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตนี่จะดีไหมหนอ เหตุผลของผมก็คือ 1. ตั้งแต่มีการเปิดให้พูดอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัว (หรือเปิดก็ตาม) ผมรู้สึกได้ถึงความดุดัน เกรี้ยวกราด หยาบคาย เคียดแค้นชิงชังเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ บางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่เล็กๆ ถ้าเกิดขึ้นก่อนยุคอินเตอร์เน็ต แต่พอมีการแชร์ การวิจารณ์ในมุมมองๆ ต่างก็เกิดขึ้น ที่วิจารณ์อย่างใจเป็นธรรมก็มี และที่วิจารณ์อย่างเน้นเอาสะใจก็มาก ทำให้เกิดการเห็นต่างแบบรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นความเกลียดชังฝ่ายที่คิดต่าง เป็นต้น 2. การเผยแพร่เรื่องและภาพและเสียงที่ไม่เหมาะสม กลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ง่ายๆ โดยไม่จำกัดวัยวุฒิและคุณวุฒิ ไม่เว้นแม้กระทั่งสื่อหลักๆ มากมาย จนดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าเอาอย่างมากกว่าน่าจะเก็บไว้ส่วนตัว สำหรับผม 2 ข้อนี้คือข้อหลักๆ ที่อยากจะให้มีการปิดอินเตอร์เน็ตกันทั้งประเทศสัก 10 ปี ซึ่งทาง บอย โกสิยพงษ์ ได้ออกมาชี้แจงเรื่องที่เจ้าตัวโพสต์ ว่า ว่า ไม่เกี่ยวกับการเมืองแต่อย่างใด เพียงต้องการชวนเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กมาถกกันเป็นเรื่องสนุกว่าให้ปิดอินเตอร์เน็ตในประเทศสัก 10 ปีเพื่อการเกลียดชังผู้มีความคิดเห็นต่างได้ลดเบาบางลงไหม ซึ่งตนก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่อยากจะรู้ว่าคนอายุเท่าไร คิดเห็น อย่างไรกันบ้าง โดยเฉพาะวัยอย่างตน แต่หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงกลับมีคนเข้ามาร่วมพูดคุยกันอย่างเยอะมาก และหลายความเห็นก็ดูจริงจังและรุนแรงแถงยังโยงไปเรื่องการเมืองอีก และดูเหมือนจะกลับกลายเป็นประเด็นอย่างกว้างขวางในเวลาอันสั้น จึงได้ลบข้อความเหล่านั้นออกจากเฟซบุ๊ก และได้สำนึกว่าเราจะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลกให้เข้ากับเราไม่ได้ แต่น่าจะเปลี่ยนแปลงใจของเราให้เข้าใจโลกน่าจะดีกว่า แทนที่จะปิดกันผู้อื่นเราน่าจะจำกัดที่ใจเราว่าจะรับข่าวสารประเภทใดให้จิตใจเราไม่ไปอ่อนไหวตามกระแสมากกว่า เลยคิดว่าจะลองปิดตัวเองจากสื่อโซเชียลมีเดีย ต่างๆ ดูสักระยะนึง ถ้ารู้สึกดีขึ้นหรือเลวลงก็จะกลับมาเล่าให้ฟังเป็นระยะๆ