พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าวัคซีนว่า ยืนยันจะได้รับวัคซีนล็อตแรก 2 แสนโดสซึ่งจะมาสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนก.พ.นี้แน่นอน และเมื่อมาถึงประเทศไทยแล้วก็จะใช้เวลาประมาณ 3 วันในการเตรียมการฉีดเข็มแรก และการกำหนดกลุ่มในการฉีด แต่ละชนิดของวัคซีนจะมีข้อบัญญัติไว้ชัดเจนว่าจะฉีดในกลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบอื่นๆตามมาขอให้รออีกนิด แล้วทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19 ) หรือศบค.จะชี้แจงให้ทราบต่อไป สำหรับล็อตที่สอง 8 แสนโดส และล็อตที่สามอีก 1 ล้านโดสก็จะตามมา โดยส่วนหนึ่งจะนำมาฉีดเข็มที่ 2 ของกลุ่มระยะแรก และที่เหลือจะเป็นระยะที่หนึ่งของคนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็จะต้องพิจารณาให้ครบทุกกลุ่ม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้เน้นย้ำไปว่าให้ดูในส่วนของพื้นที่เสี่ยงเป็นหลัก นอกจากบุคคลากรทางการแพทย์แล้วยังมีประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งกลุ่มแรงงานและในพื้นที่ท่องเที่ยวด้วย ซึ่งคนที่ได้รับการฉีดไปแล้วก็จะปลอดภัยในระดับหนึ่ง ส่วนที่เหลือคงต้องรอจนกว่าจะฉีดให้ครบในจำนวนวัคซีนที่ทยอยได้รับมา ก็ขอให้ทุกคนยังคงต้องระมัดระวัง ใช้หน้ากากอนามัย และรักษาระยะห่าง ควบคู่ไปด้วย เพราะจะสามารถป้องกันได้ในระดับที่ดีพอสมควร ใครได้รับวัคซีนหรือยังไม่ได้รับก็ยังคงต้องใส่หน้ากากอยู่ ในส่วนของบริษัทแอสตร้าเซเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด 26 ล้านโดสจะเข้ามาประมาณเดือนพ.ค.และมิ.ย.และอีก 35 ล้านโดสก็จะตามมา ซึ่งเราต้องกำหนดเป้าหมายการฉีดให้ต่อเนื่อง สอดคล้องกัน
นายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับความก้าวหน้าของการขึ้นทะเบียนวัคซีน วันนี้ทางองค์การอาหารและยา(อย.)ได้ขึ้นทะเบียนให้กับแอสต้าเซเนก้าแล้ว ในส่วนของบริษัทชิโนแวก ไบโอเทค กำลังดำเนินการ น่าจะทันก่อนวัคซีนล็อตแรกจะเข้ามา ส่วนที่กำลังมาขอขึ้นทะเบียนได้แก่บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อยู่ในขั้นตอนส่งเอกสารมาซึ่งยังไม่ครบ ส่วนบริษัทไบโอเทคโมเดิร์นนา บริษัทไฟเซอร์ ได้มาพูดคุยแต่ยังไม่ได้ส่งเอกสารมา
นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยพร้อมหากมีความร่วมมือตรงนี้ เราไม่ได้ปิดกั้นใคร ซึ่งทั้งหมดเป็นเคสที่เรียกว่า การใช้ในสถานการฉุกเฉิน ที่ใครจะขอนำเข้าก็ต้องมาขอสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และที่สำคัญต้องฉีดตามแผนการฉีดวัคซีนของรัฐที่กำหนดไว้ในขั้นต้น ซึ่งอาจจะมี ภาคเอกชน โรงพยาบาลเอกชนสั่งได้ ซื้อได้ก็ตาม แต่ต้องอยู่ในแผนการฉีดของรัฐ ซึ่งถือเป็นทางเลือกให้กับประชาชนที่มีรายได้สูงหรือผู้ที่ต้องการจะฉีดให้เร็วขึ้น แต่ต้องอยู่ในแผนการฉีดวัคซีนของรัฐ ต้องอยู่ในข้อกำหนดว่ากลุ่มไหน อันนี้เพื่อความปลอดภัยของทุกคน รัฐบาลมุ่งเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะเป็นห่วงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น