เพจ"โบราณนานมา" ได้โพสต์ข้อตวามและภาพระบุว่า หน้า “เซ็นทรัลเวิลด์” ไม่ใช่ “พระตรีมูรติ” ศาลที่ตั้งอยู่บนลานด้านหน้าส่วนห้างอิเซตันของเซ็นทรัลเวิลด์ คู่กับ “ศาลพระพิฆเนศวร” เซ็นทรัลเวิลด์ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ “พระตรีมูรติ” อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกัน และก็ไมได้มีไว้ขอเรื่อง “ความรัก” อีกด้วย ก่อนอื่นต้องอธิบายเกี่ยวกับ “พระตรีมูรติ” ก่อน จริง ๆ แล้วคำว่า “ตรีมูรติ” มาจาก ตรี + มูรติ คำว่า “ตรี” มากภาษาสันสกฤต (ตฺริ) แปลว่า สาม ส่วนคำว่า “มูรติ” มากภาษาสันสกฤต (มูรฺติ) แปลว่า ร่างกาย, รูป รวมกันจะแปลว่า “รูปสาม” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทฤษฎีการแบ่งหน้าที่สำคัญของ ๓ มหาเทพแห่งศาสนาฮินดู คือ ๑. “พระพรหม” เป็นผู้สรรค์สร้าง ๒. “พระนารายณ์” เป็นผู้ปกปักรักษา ๓. “พระศิวะ” เป็นผู้ทำลายล้าง โดย “พระตรีมูรติ” ที่ว่านั่นคือการรวมเอา ๓ มหาเทพไว้ในร่างหนึ่งเดียวนั่นเอง โดยมักจะมีเทวลักษณะเป็นเทพมีศีรษะ ๓ ศีรษะ (โดยมีเศียรนึงที่มาตาที่สามที่หน้าผากด้วย) และมี ๖ มือ โดยจะมีอาวุธซึ่งถือเป็นตัวแทนของเทพแต่ละองค์ เช่น จักรของพระนารายณ์ ตรีศูลของพระศิวะ เป็นต้น ซึ่งการรวมแบบนี้ก็เหมือนกับการรวมกำลังอำนาจทั้ง การสร้าง, รักษา, ทำลาย เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่รูปเคารพแบบนี้มักไม่ค่อยเป็นที่นิยมในอินเดียมากนัก โดยส่วนใหญ่มักจะบูชาในรูปของมหาเทพทั้ง ๓ องค์เสียมากกว่า เรื่องของนิกายก็มีส่วนที่ทำให้รูปเคารพของพระตรีมูรติไม่เป็นที่นิยมเช่นกัน เพราะคงไม่มีใครที่อยากเห็นเทพเจ้าสูงสุดที่ตนนับถือมาอยู่รวมกับเทพองค์อื่น แต่ศาล “หน้าเซ็นทรัลเวิลด์” ข้าง ๆ “ศาลพระพิฆเนศวร” ถูกอ้างว่าเป็น “พระตรีมูรติ” นั้น ความจริงแล้วไม่ใช่ “พระตรีมูรติ” แต่เทวรูปที่ว่านั่นคือ “พระสทาศิวะ” หรือ “พระปัญจมุขี” ซึ่งแปลว่า “๕ หน้า” ก็คือ “พระศิวะ ๕ เศียร” ซึ่งถือเป็นลักษณะสูงสุดของพระศิวะ ตามลัทธิไศวนิกาย โดยเทวลักษณะของพระสทาศิวะนั้น จะมีศีรษะ ๕ ศีรษะ และมีดวงตาที่ ๓ อยู่กลางหน้าผากทุกศีรษะ ส่วนเรื่องจำนวนมือนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตำราว่าจะมีอยู่เท่าไหร่นั่นเอง หากย้อนกลับไปในสมัยโบราณ ก็ปรากฎรูปเคารพของ “พระสทาศิวะ” แบบนี้ที่วัดภู แขวงสำปาสัก ประเทศลาว ซึ่งมี “พระนารายณ์” และ “พระพรหม” ประทับอยู่ระหว่างซ้ายขวาของ “พระสทาศิวะ” ซึ่งเรื่องนี้ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ (ชวิน รังสิพราหมณกุล) หัวหน้าเทวสถาน (โบสถ์พราหมณ์) และหัวหน้าพราหมณ์ผู้ประกอบพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ ก็ได้กล่าวว่านี่คือ “พระสทาศิวะ” ไม่ใช่ “พระตรีมูรติ” ซึ่งท่านก็ได้ปฏิเสธที่จะทำพิธีบวงสรวง “พระตรีมูรติ” (ตามที่หลายฝ่ายยังเชื่ออยู่) ต่างจากเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ในบริเวณแยกราชประสงค์ซึ่งล้วนแต่ผ่านพิธีบวงสรวงมาแล้วทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า ท่านจะไม่รับทำพิธีที่ผิดแบบแผน และเทพเจ้าไม่ถูกต้องตามเทวลักษณะนั่นเอง ส่วนเรื่องของการบูชาเรื่อง “ความรัก” นั้น ความจริงแล้ว “พระตรีมูรติ” ไม่ได้มีคุณเรื่องเกี่ยวกับ “ความรัก” แต่อย่างใด เพราะถ้าหากบูชา “พระตรีมูรติ” จริง ๆ แล้วมักจะมีคุณเรื่องของพลังอำนาจมากกว่า ก็เพราะเกิดจากการรวมอำนาจของ ๓ มหาเทพเอาไว้ และ “พระสทาศิวะ” หรือ “พระปัญจมุขี” หน้าเซ็นทรัลเวิลด์นั้น นอกจากจะไม่ได้มีไว้ให้ขอพร “เรื่องความรัก” แล้ว “พระศิวะ” ยังเป็นศัตรูกับ “พระกามเทพ” อีกด้วย เพราะ “พระกามเทพ” ทรงถูก “พระศิวะ” เผาเป็นเถ้าถ่าน ครั้งหนึ่ง “พระอินทร์” และเหล่าเทวดาต่างทุกข์ทรมาน เพราะถูก “ตารกาสุร” ผู้ซึ่งขอพรจาก “พระพรหม” ให้ตนเองไม่มีใครสามารถสังหารตนเองได้ นอกจาก “บุตรแห่งพระศิวะ” เท่านั้นบุกยึดสวรรค์ พระพรหมาจึงทรงแนะนำให้ “พระแม่ปารวตี” ไปวิวาห์กับ “พระศิวะ” เพื่อให้บุตรของทั้งสองพระองค์มาสังหาร “ตารกาสุร” พระอินทร์จึงทรงสั่งให้พระกามเทพไปทำลายการเข้าสมาธิของพระศิวะ “พระกามเทพ” ทรงหลบนันทิเพื่อเข้าไปหาพระศิวะได้โดยการแปลงกายเป็นสายลมพัดผ่านเข้าไป เพื่อสร้างบรรยากาศ พระกามเทพทรงเนรมิตให้เกิดฤดูใบไม้ผลินอกฤดูกาล และพระกามเทพก็ทรงยิงศรดอกไม้เพื่อให้ “พระศิวะ” ทรงรัก “พระแม่ปารวตี” พระศิวะจึงทรงโกรธ และลืมพระเนตรเพื่อเผา “พระกามเทพ” จนเป็นเถ้าถ่าน แต่ในที่สุด “พระศิวะ” ก็ทรงวิวาห์กับ “พระแม่ปารวตี” ทรงมีบุตรด้วยกันคือ “พระสกันทกุมาร” และพระสกันทกุมารทรงปราบ “ตารกาสุร” เมื่อพระองค์มีอายุเพียงแค่ ๗ วัน สวรรค์และโลกมนุษย์จึงได้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง สำหรับเทวรูป “พระตรีมูรติ” ที่ถูกต้องตามเทวลักษณะ จะมีประดิษฐานอยู่ที่ศาลพระตรีมูรติ ข้าง ๆ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ (EMPIRE TOWER) ซึ่งสามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงที่สถานีช่องนนทรี แล้วเดินไปหน่อย อ้างอิง กิตติ วัฒนะมหาตม์. (๒๕๕๙). พระตรีมูรติ : ความผิดพลาดที่ซ้ำซาก. ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔, จากเว็บไซต์: http://shreegurudevamantra.blogspot.com/2016/02/blog-post_12.html