“อานนท์ แสนน่าน” ระดมประธานหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนทั่วไทยเตรียมสร้างโดมกัญชาปลูกเพื่อการแพทย์ หวังส่งออกตามกรอบข้อกฎหมายที่รัฐบาลกำลังสนับสนุนให้เกษตรกรได้ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2564) ณ ศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นบ้านอ่างหิน ต.ธงชัยเหนือ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ประธานเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย ,นางนิตยา นาโล รองประธานเครือข่ายฯหัวหน้าภาคอีสาน ,นายสมชัย แสงทอง รองประธานเครือข่ายฯหัวหน้าภาคเหนือ ,นายศักดิ์ชาย พรหมโท ประธานผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) แห่งประเทศไทย ,นางธนภัทร พันธวาส ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะประธานเครือข่ายฯ ต่างๆ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ ประธานหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนตัวแทนแต่ละภาคเพื่อประชุมรับฟัง เตรียมการขออนุญาตปลูกกัญชา-กัญชง ตามกรอบกฎหมายของรัฐบาลที่ให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเป็น “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ร่วมมือกับทาง “มหาวิทยาลัย” ปลูกกัญชาและกัญชงเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และอื่น ๆ ตามที่ทาง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” และ “มหาวิทยาลัย” ได้ดำเนินการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กันเอาไว้ และหลังจากนั้นทางคณะได้เยี่ยมดูการสร้างโดมกัญชาที่ต้องใช้พื้นที่ระหว่าง 2 – 5 ไร่ เพราะต้องสร้างแนวเขตป้องกันตั้งแต่สังกะสี ลวดเหล็ก ลวดหนาม ประตูระบบคีย์การ์ดป้องกัน กล้องวงจรปิดล้อมรอบทุกทิศทาง ระบบน้ำ ระบบไฟ ตามระเบียบและข้อกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)
ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ประธานเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามข้อกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกัญชา พ.ศ.2562 นั้นมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ นอกจากนี้ ยังกำหนดคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตผลิต นำเข้า หรือส่งออก ให้จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา โดยการปลูกกัญชาต้องดำเนินการในสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตเท่านั้น ในการปลูกทุกครั้งต้องใช้เมล็ดพันธุ์ เนื้อเยื่อ หรือวิธีการอื่นตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว และจัดทำแนวเขตพื้นที่การเพาะปลูกที่เห็นได้ชัด ซึ่งต้องจัดให้มีการสุ่มวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบหาปริมาณสารสำคัญในกัญชา เช่น Cannabidiol (CBD) หรือ Tetrahydrocannabinol (THC) สารปนเปื้อน โลหะหนัก หรือสารอื่นๆ ในการปลูกทุกครั้ง ตามมาตรฐานที่กำหนด และเก็บหลักฐานการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าว ณ สถานที่ที่ได้รับอนุญาตเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ในกรณีที่ผู้รับอนุญาต ไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ ต้องจัดให้มีการสุ่มวิเคราะห์ดังกล่าว โดยผู้รับอนุญาตอื่นที่รับผลผลิตจากผู้รับอนุญาตปลูกไปดำเนินการแปรรูปหรือผลิตต่อไป
รวมทั้งกำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิต หรือนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จะผลิต หรือนำเข้า ซึ่งตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ต้องขอการรับรองตำรับต่อผู้อนุญาตก่อน และเมื่อได้รับหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์แล้ว จึงจะผลิตหรือนำเข้าซึ่งตำรับยาเสพติดให้โทษนั้นได้ ส่วนการศึกษาวิจัย ให้ยื่นคำขอต่อผู้อนุญาตตามแบบที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยากำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา พร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐาน เป็นต้น
ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 มีอีกหลายหน่วยงานที่สามารถทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ หรือร่วมกับหน่วยงานของรัฐ สามารถทำได้หมด ในส่วนของการแจ้งเพื่อขอทำการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์นั้น ก็ยังสามารถทำได้ตลอด เนื่องจากกฎหมายมีการอนุญาตให้ขออนุญาตได้ แต่ต้องเป็นหน่วยงานรัฐ จะเป็นหน่วยงานรัฐใดก็ได้ สรุปโดยสังเขป ผู้ที่จะปลูกได้ ประกอบไปด้วย 1. หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ 2. หน่วยงานที่เกี่ยวกับทางการเกษตร เช่น วิสาหกิจชุมชนไปร่วมกับมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาสายพันธุ์ว่าสายพันธุ์ไหนดีหรือไม่ดี ก็สามารถมาขออนุญาตได้ แต่ต้องมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ขออนุญาต และ 3. หน่วยงานของรัฐร่วมกับเอกชน เป็นต้น และตอนนี้ทาง “เครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย” ได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับทาง “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน” ภายใต้การกำกับดูแลและควบคุมของแพทย์ผู้ได้รับอนุญาตประกอบวิชาชีพทั้งนี้ให้รวมถึงการดำเนินการด้านเภสัชกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรมหรือ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการแพทย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกัญชา สารสกัดจากกัญชา และผลิตภัณฑ์จากกัญชา
ส่วนการขออนุญาตปลูกนั้น ประกอบด้วย 1. สถานที่เพาะปลูก ต้องได้รับการตรวจสอบจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 2. ต้องระบุปริมาณการปลูก 3. ต้องผ่านการตรวจสอบประวัติการถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของผู้ขอรับอนุญาต 4. มาตรการรักษาความปลอดภัยต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพื่อป้องกันการรั่วไหลของกัญชา 5. รายละเอียดการดำเนินการ แบ่งเป็นกรณีปลูกเพื่อประโยชน์ของทางราชการ การแพทย์ และกรณีปลูกเพื่อศึกษาวิจัย 6. ข้อมูลทั่วไปของผู้ขอรับอนุญาต หากปลูกต้องมีการระบุว่า จะนำสายพันธุ์กัญชามาจากที่ใด เช่น ขอมาจากของกลางจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ต้องมีการทำเรื่องขอของกลางจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหากจะมีการนำเข้าสายพันธุ์ ก็ต้องมีการอนุญาตการนำเข้า ดังนั้น ขอย้ำว่าในการที่จะทำอะไรต้องขออนุญาตทุกขั้นตอน ผศ.ดร.อานนท์ กล่าว.
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2564) ณ ศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นบ้านอ่างหิน ต.ธงชัยเหนือ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ประธานเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย ,นางนิตยา นาโล รองประธานเครือข่ายฯหัวหน้าภาคอีสาน ,นายสมชัย แสงทอง รองประธานเครือข่ายฯหัวหน้าภาคเหนือ ,นายศักดิ์ชาย พรหมโท ประธานผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) แห่งประเทศไทย ,นางธนภัทร พันธวาส ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะประธานเครือข่ายฯ ต่างๆ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ ประธานหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนตัวแทนแต่ละภาคเพื่อประชุมรับฟัง เตรียมการขออนุญาตปลูกกัญชา-กัญชง ตามกรอบกฎหมายของรัฐบาลที่ให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเป็น “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” ร่วมมือกับทาง “มหาวิทยาลัย” ปลูกกัญชาและกัญชงเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และอื่น ๆ ตามที่ทาง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน” และ “มหาวิทยาลัย” ได้ดำเนินการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กันเอาไว้ และหลังจากนั้นทางคณะได้เยี่ยมดูการสร้างโดมกัญชาที่ต้องใช้พื้นที่ระหว่าง 2 – 5 ไร่ เพราะต้องสร้างแนวเขตป้องกันตั้งแต่สังกะสี ลวดเหล็ก ลวดหนาม ประตูระบบคีย์การ์ดป้องกัน กล้องวงจรปิดล้อมรอบทุกทิศทาง ระบบน้ำ ระบบไฟ ตามระเบียบและข้อกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)
ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ประธานเครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามข้อกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกัญชา พ.ศ.2562 นั้นมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ นอกจากนี้ ยังกำหนดคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตผลิต นำเข้า หรือส่งออก ให้จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา โดยการปลูกกัญชาต้องดำเนินการในสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตเท่านั้น ในการปลูกทุกครั้งต้องใช้เมล็ดพันธุ์ เนื้อเยื่อ หรือวิธีการอื่นตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว และจัดทำแนวเขตพื้นที่การเพาะปลูกที่เห็นได้ชัด ซึ่งต้องจัดให้มีการสุ่มวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบหาปริมาณสารสำคัญในกัญชา เช่น Cannabidiol (CBD) หรือ Tetrahydrocannabinol (THC) สารปนเปื้อน โลหะหนัก หรือสารอื่นๆ ในการปลูกทุกครั้ง ตามมาตรฐานที่กำหนด และเก็บหลักฐานการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าว ณ สถานที่ที่ได้รับอนุญาตเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ในกรณีที่ผู้รับอนุญาต ไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ ต้องจัดให้มีการสุ่มวิเคราะห์ดังกล่าว โดยผู้รับอนุญาตอื่นที่รับผลผลิตจากผู้รับอนุญาตปลูกไปดำเนินการแปรรูปหรือผลิตต่อไป
รวมทั้งกำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิต หรือนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จะผลิต หรือนำเข้า ซึ่งตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ต้องขอการรับรองตำรับต่อผู้อนุญาตก่อน และเมื่อได้รับหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์แล้ว จึงจะผลิตหรือนำเข้าซึ่งตำรับยาเสพติดให้โทษนั้นได้ ส่วนการศึกษาวิจัย ให้ยื่นคำขอต่อผู้อนุญาตตามแบบที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยากำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา พร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐาน เป็นต้น
ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 มีอีกหลายหน่วยงานที่สามารถทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ หรือร่วมกับหน่วยงานของรัฐ สามารถทำได้หมด ในส่วนของการแจ้งเพื่อขอทำการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์นั้น ก็ยังสามารถทำได้ตลอด เนื่องจากกฎหมายมีการอนุญาตให้ขออนุญาตได้ แต่ต้องเป็นหน่วยงานรัฐ จะเป็นหน่วยงานรัฐใดก็ได้ สรุปโดยสังเขป ผู้ที่จะปลูกได้ ประกอบไปด้วย 1. หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ 2. หน่วยงานที่เกี่ยวกับทางการเกษตร เช่น วิสาหกิจชุมชนไปร่วมกับมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาสายพันธุ์ว่าสายพันธุ์ไหนดีหรือไม่ดี ก็สามารถมาขออนุญาตได้ แต่ต้องมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ขออนุญาต และ 3. หน่วยงานของรัฐร่วมกับเอกชน เป็นต้น และตอนนี้ทาง “เครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นเรารักประเทศไทย” ได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับทาง “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน” ภายใต้การกำกับดูแลและควบคุมของแพทย์ผู้ได้รับอนุญาตประกอบวิชาชีพทั้งนี้ให้รวมถึงการดำเนินการด้านเภสัชกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรมหรือ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการแพทย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกัญชา สารสกัดจากกัญชา และผลิตภัณฑ์จากกัญชา
ส่วนการขออนุญาตปลูกนั้น ประกอบด้วย 1. สถานที่เพาะปลูก ต้องได้รับการตรวจสอบจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 2. ต้องระบุปริมาณการปลูก 3. ต้องผ่านการตรวจสอบประวัติการถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของผู้ขอรับอนุญาต 4. มาตรการรักษาความปลอดภัยต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพื่อป้องกันการรั่วไหลของกัญชา 5. รายละเอียดการดำเนินการ แบ่งเป็นกรณีปลูกเพื่อประโยชน์ของทางราชการ การแพทย์ และกรณีปลูกเพื่อศึกษาวิจัย 6. ข้อมูลทั่วไปของผู้ขอรับอนุญาต หากปลูกต้องมีการระบุว่า จะนำสายพันธุ์กัญชามาจากที่ใด เช่น ขอมาจากของกลางจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ต้องมีการทำเรื่องขอของกลางจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหากจะมีการนำเข้าสายพันธุ์ ก็ต้องมีการอนุญาตการนำเข้า ดังนั้น ขอย้ำว่าในการที่จะทำอะไรต้องขออนุญาตทุกขั้นตอน ผศ.ดร.อานนท์ กล่าว.