ในสถานการณ์ปกติ ทุกคนสามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามใจปรารถนา   แต่ในช่วงเวลาที่โควิด-19 ระบาดและการใช้ชีวิตแบบ New Normal เราทุกคนต่างถูกจำกัดกรอบการใช้ชีวิตให้อยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีผู้สูงอายุที่มีสภาวะสมองเสื่อมอย่างผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ซึ่งต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษด้วยแล้ว ทำให้ผู้ที่ต้องดูแลผู้สูงอายุต้องปรับสภาพจิตใจเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเอาใจใส่ “เขา” และการเอาใจใส่ “เรา” ด้วย ศาสตราจารย์ ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ ให้คำแนะนำในเรื่องการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ในช่วงโควิด-19 ระบาดว่า ลูกหลานในบ้านเปรียบเสมือนพื้นที่เชิงบวกในฐานะ“คนรู้ใจ” ของผู้สูงอายุ การดูแลให้ผู้สูงอายุได้รับปัจจัย 4 ครบถ้วนนั้นไม่เพียงพอ เพราะเมื่อคนเราอายุมากขึ้นมักเกิดความเจ็บป่วยทางกายหลายโรค ซึ่งไม่ส่งผลเฉพาะสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ด้านจิตใจก็อาจได้รับผลกระทบ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องการการเติมเต็มความใส่ใจห่วงใยการเป็นที่รักจากลูกหลาน                 ศ.ดร.อรัญญา ให้ข้อมูลว่าผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ เซลล์สมองจะถูกทำลาย ทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ   สิ่งที่ค่อยๆ สูญเสียไปเรื่อยๆ เช่น ความจำระยะสั้นเสียไป ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และการพึ่งพาตนเองลดลง ในขณะเดียวกันก็จะมีมุมลบที่ชวนให้คนถอยห่างเพิ่มขึ้น เช่น อารมณ์แปรปรวน ก้าวร้าว ครอบครัวผู้ดูแลจึงต้องคอยสังเกต “ความสุข” ของผู้สูงอายุ ผู้ใกล้ชิดต้องตระหนักรู้และเท่าทันพฤติกรรมด้านลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ลดความคาดหวังในการอยู่ร่วมกันและเพิ่มโอกาสเพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่นหัวใจ เมื่อมีโอกาสหรือจังหวะที่ผู้สูงอายุเปิดใจ ก็ค่อยๆ บอกกล่าวถึงความหวังดี ความห่วงใยที่ลูกหลานมีให้ท่าน ด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำที่สื่อถึงความรักและพูดให้บ่อยครั้งสม่ำเสมอ                “ทีมวิจัยจากคณะจิตวิทยา จุฬาฯ ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับผู้สูงอายุและชุมชนใน “โครงการจุฬาอารี” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าถ้อยคำดีๆ ที่ลูกหลานและคนรอบข้างพูดกับผู้สูงอายุเป็นสื่อสำคัญในการเชื่อมใจถึงใจ เช่น ซื้อของมาให้นะ เอาบุญมาฝาก วันนี้แต่งตัวสวยจัง กินยาด้วยนะ เป็นต้น นอกจากนี้สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติต่อผู้สูงอายุ เช่น ชักสีหน้า แสดงท่าทีหงุดหงิด แสดงความไม่สนใจ” ศ.ดร.อรัญญา กล่าว                สำหรับผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ นอกจากการเป็นสิ่งแวดล้อมที่สร้าง “ความมั่นคงทางใจ” ให้ผู้สูงอายุแล้ว ผู้ใกล้ชิดก็ต้องดูแลใจของตนเองด้วย ซึ่งสามารถทดสอบตัวเองง่ายๆ ด้วยกิจกรรมเพิ่มสมรรถภาพความฟิตกายและใจทั้ง 5 ข้อ หากตอบว่าใช่ทุกข้อแสดงว่าท่านมี “ทุนทางใจ” ที่ดี 1. เดินและ/หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอบ้างหรือไม่ 2. รับประทานอาหารที่เหมาะกับสุขภาพใจ เน้นผัก ผลไม้ ถั่วเหลือง ลดคุกกี้ ขนมปังขาวให้น้อยลงบ้างหรือไม่ 3. หายใจเอาความเครียดออกไปด้วยท้องแบบผ่อนคลาย / การผ่อนคลายกล้ามเนื้อบ้างหรือไม่ 4. การรักษามิตรภาพและเครือข่ายกัลยาณมิตรบ้างหรือไม่ 5. การได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติสีเขียวบ้างหรือไม่                ในสถานการณ์โควิด-19 อาจมีเรื่องที่น่ากังวลใจและสะสมความเครียด ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยควรเตือนตัวเอง  ควรลดละเลิกการได้รับข่าวสารและการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปในแต่ละวัน มีเวลาสำหรับสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตร ให้เวลาผ่อนคลายตัวเองบ้าง สุดท้ายหากเกิดความเครียด ความไม่สบายใจ ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. ตระหนักรู้ : สังเกตและรับรู้ถึงความเครียดของตนเอง  2. หยุด : ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แค่หยุดนิ่งแล้วหายใจลึกๆ 3. ดึงตัวเองกลับมา : บอกตัวเองว่าเป็นแค่ความกังวลเป็นแค่ความคิดและความรู้สึกชั่ววูบอย่าเชื่อทุกอย่าง    ที่ตนคิดเพราะความคิดไม่ใช่คำยืนยันหรือข้อเท็จจริง 4. ปล่อยมันไป : ปล่อยความคิดความกังวลให้ผ่านไปไม่ต้องไปตอบโต้มัน 5. สำรวจ : อยู่กับปัจจุบัน ฝึกดูลมหายใจของตนเอง สังเกตพื้นที่ที่ยืนอยู่ มองไปรอบๆ ตัว จากนั้นค่อยเปลี่ยนความสนใจกลับมาสู่สิ่งที่ต้องทำต่อไป                ศ.ดร.อรัญญา กล่าวทิ้งท้ายโดยให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า “ไม่ว่าผู้สูงอายุจะป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องทางสมองหรือไม่ก็ตาม ในทางจิตวิทยา การได้รับความรักความเข้าใจ ความห่วงใยที่มีอยู่สม่ำเสมอ เป็นการเติมเต็มความต้องการทางจิตใจของคนทุกคน” ในส่วนของคำแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติต่อผู้ป่วยอัลไซเมอร์และผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมในภาวะโควิด-19 ระบาด อาจารย์ นายแพทย์ยุทธชัย ลิขิตเจริญ สาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่า ไม่ควรให้ผู้ป่วยออกนอกบริเวณบ้าน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ พยายามลดจำนวนคนมาเยี่ยมผู้ป่วยและจำนวนคนที่ดูแลหรือวางตัวคนดูแลให้เป็นคนเดิมประจำ เพราะถ้าอยู่ในบริเวณเดิมที่อาศัยอยู่ โอกาสที่จะติดเชื้อโควิด-19 จะน้อยกว่าการออกนอกบ้านซึ่งมีโอกาสได้รับเชื้อจากชุมชนภายนอก     ถ้าผู้ป่วยจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ผู้ดูแลหรือญาติก็ควรจะสวมหน้ากากอนามัย Face Shield  หรือใส่ถุงมือให้ผู้ป่วย ผู้ดูแลต้องพยายามบอกให้ผู้สูงอายุเข้าใจในความจำเป็นที่จะต้องป้องกันตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์หรือผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมอาจจะมีพฤติกรรมแอบซ่อนสิ่งของเครื่องใช้ หรือเก็บสมบัติไว้เพราะกลัวมีคนมาขโมย ซึ่งมักจะจำไม่ได้ว่าเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ดังนั้นผู้ดูแลจึงควรตรวจสอบสิ่งของต่างๆ เพื่อนำมาทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ                อาจารย์นายแพทย์ยุทธชัยให้คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ว่า ควรออกกำลังกายเบาๆ ที่บ้านเป็นประจำ ที่สำคัญที่สุดคือให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่เคยชอบและอยากทำ เช่น การฟังเพลงเก่าๆ การเล่นกับสัตว์เลี้ยง การเล่นกับลูกหลานในบ้านหรือผ่านวีดิโอคอลในช่วงที่โควิด-19 ระบาด                สำหรับญาติและผู้ดูแลผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมสามารถติดตามรายละเอียดข้อมูลข่าวสารได้ที่สมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย www.thaidementia.com หรือขอรับคำปรึกษาได้ที่คลินิกความจำ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย www.chulancu.com  โทร.0-2256-4000 ต่อ 80723, 80731 ในวันและเวลาราชการ