นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่ผู้อำนวยการสำนักบริหารอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ได้ออกมาเปิดเผยว่ามีผู้หวังดีแจ้งว่ามีกลุ่มบุคคลเข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค ท้องที่บ้านไทรโยคใหญ่ หมู่ที่ 7 ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และเมื่อนำกำลังไปตรวจค้นพบทหารยศ พันจ่าเอก ครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนหลายประเภท รวมทั้งอุปกรณ์ล่าสัตว์ต่างๆมากมาย ที่สำคัญพบซากนกเงือก จำนวน 7 ซาก ซากนกกาเหว่า จำนวน 2 ซาก ซากนกเขียวคราม จำนวน 1 ซาก รวมทั้งยังพบยาบ้าพร้อมอุปกรณ์เสพยา และกัญชาอัดแท่งอีกด้วยนั้น หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ของทหารคนดังกล่าวที่ไม่ยี่หระต่อกฎหมาย และวินัยทหาร เพราะคิดว่าเป็นทหารมีอาวุธ จะทำอะไรก็ได้ จึงได้กล้ากระทำการดังกล่าวอันเป็นการเย้ยหยันคนไทยที่รักสัตว์ป่า รวมทั้งนักอนุรักษ์ และนักสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศเป็นอย่างมาก และน่าจะกระทำมาหลายต่อหลายครั้ง จนย่ามใจ และอาจชี้ให้เห็นว่าหน่วยงานต้นสังกัด ไม่ได้มีการฝึกอบรมหรือสั่งสอนให้มีความรับผิดชอบชั่วดี ให้เกิดขึ้นในก้นบึ้งของหัวใจของความเป็นทหารเลยแต่อย่างใด กรณีที่เกิดขึ้นทหารคนดังกล่าวจะต้องถูกดำเนินคดีหลายข้อหา ทั้งการฝ่าฝืน พรบ.อุทยานแห่งชาติ 2562 พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2562 พรบ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน 2490 พรบ.ยาเสพติดให้โทษ 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งล้วนเป็นข้อหาหนักซึ่งต้องถูกจำคุกก็ตาม แต่สำหรับโทษทางทหารนั้น นอกจากเป็นการฝ่าฝืน พรบ.ว่าด้วยวินัยทหาร 2476 แล้วยังมี พรบ.ระเบียบข้าราชการทหาร 2521 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยประมวลจริยธรรม 2551 อีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมและหรือการกระทำดังกล่าวของพันจ่าเอก สังกัดหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ จะต้องถูกต้นสังกัด คือ “กองบัญชาการกองทัพไทย” สอบสวนและลงทัณฑ์โดยพลัน ซึ่งโทษสูงสุดควรที่จะต้อง “ไล่ออก” จากความเป็นทหารเท่านั้น แต่หากมีการช่วยเหลือปกป้องให้กันและกัน ก็จะทำให้องค์กรในภาพรวมมัวหมองตามไปด้วย และผู้บังคับบัญชาก็จะต้องมีโทษเฉกเช่นผู้กระทำผิดตามไปด้วย นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด