เยี่ยมบ้านลุงทองวัน ผู้ปีนเสาสูงจ่อดิ่งพื้นประชดรัฐบาล หลังทุกมาตรการเยียวยาใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเกิน จนลืมคนยากไร้ตัวจริงที่ยังปรับตัวตามไม่ทัน พบเป็นบ้านที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จด้วยอิฐบล็อกเรียงกัน ยังไม่ฉาบปูนทาสี และมีบางส่วนใช้ผ้าใบขึงแทนหลังคา ระบุมีหนี้สินมากแต่ไม่ใช่ปัญหาหลักทำเครียด ยันน้อยใจจากโครงการที่ไม่ทั่วถึงจากรัฐมากกว่า ก่อนแนะถึงลุงตู่ให้กลางทะเบียนบ้านแจกถึงมือคนจนจริงๆ วันที่ 5 ก.พ.64 เวลา 11.30 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าไปพูดคุยกับ นายทองวัน แสงแก้ว อายุ 58 ปี ยังที่สวนรุกขชาติแห่งหนึ่ง ริมถนนสาย 304 ฉะเขิงเทรา-กบินทร์บุรี อีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานได้คิดสั้นพยายามที่จะปีนขึ้นไปบนยอดเสาเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เพื่อหวังที่จะกระโดดลงมาประชดรัฐบาล จากการใช้มาตรการเยียวยาประชาชน ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจนลืมกลุ่มคนที่ยังตามยุคสมัยไม่ทัน จากนั้นจึงได้เดินทางไปยังบริเวณจุดเกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างการตัดสินใจก่อเหตุ จนทำให้เกิดความน้อยใจ และความนึกคิดในขณะที่กำลังจะก่อเหตุคิดสั้น จนถึงขั้นจะปลิดชีพตนเองด้วยการดิ่งจากที่สูง ก่อนที่จะพาผู้สื่อข่าวเดินทางไปเยี่ยมชมยังที่บ้านพักเลขที่ 84/7 ม.11 ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ภายในหมู่บ้านห้วยสำโรง โดยพบว่าบ้านของ นายทองวัน นั้น เป็นบ้านขนาดกว้างประมาณ 6 เมตรยาวประมาณ 9 เมตรเชื่อมต่อด้วยห้องครัวอีก 3 เมตรแบบชั้นเดียว ก่อสร้างด้วยอิฐบล็อก แต่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จบนเนื้อที่ประมาณ 2 งาน (200 ตรว.) โดยยังไม่ได้มีการฉาบปูน ทาสี ด้านบนหลังคามุงด้วยกระเบื้องเก่า ส่วนภายในครัวมุงด้วยผืนผ้ายาง ที่ถูกนำมาใช้ขึงไว้บังแดดฝนแทนหลังคา และใช้แผ่นสังกระสีเก่าๆ สภาพเป็นรูพรุนมาทำเป็นประตูเข้าออกห้องครัว ทางด้านหลังบ้าน หลังจากพาผู้สื่อข่าวเข้าไปดูให้เห็นถึงความยากจนที่แท้จริงของครอบครัวแล้ว นายทองวัน กล่าวเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ได้ย้ายภูมิลำเนาจาก จ.สุรินทร์ มาอยู่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา มานานถึงกว่า 20 ปีแล้ว จนมีภรรยา คือ นางแก้ว สันทานุนัย อายุ 59 ปี ที่ทำงานเป็นคนงานอยู่ภายในสวนรุกขชาติแห่งนี้ เช่น เดียวกัน จนมีบุตรชายด้วยกันจำนวน 2 คน คนโตเพิ่งเรียนจบและทำงานแล้ว ส่วนคนเล็กกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้น ปวส. ในวิทยาลัยด้านเกษตรกรรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดความน้อยใขจนเครียด เนื่องจากไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการเยียวยาหรือช่วยเหลืออะไรต่อประชาชน ที่ผ่านมาทุกโครงการตนและครอบครัวยังไม่เคยได้รับสิทธิ์อะไรเลยแม้แต่บาทเดียว เหตุเพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนใช้ จึงไม่ได้สิทธิ์อะไรทั้งนั้น พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือแบบปุ่มกดโชว์ให้ผู้สื่อข่าวดู จึงมองว่ารัฐบาลนั้นช่วยเหลือแต่กลุ่มคนที่รวยแล้ว ที่มีเงินไปซื้อโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนใช้ แต่กลับมองไม่เห็นกลุ่มคนที่ยังไม่มีอะไรเลย ที่จะนำมาใช้ในการลงทะเบียนแข่งกับเขา จึงอยากจะฝากคำถามไปถึงยังทางรัฐบาลว่า “ทำไมถึงแจกกันแบบนี้” พร้อมอยากจะฝากไปถึงยัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าให้กลางทะเบียนบ้านดู แล้วให้การช่วยเหลือไปตามครัวเรือนได้เลย หากอยากจะแจกกันจริงๆ ซึ่งจะทำได้อย่างทั่วถึงมากกว่า ไม่ต้องมัวมาจัดสร้างทำโครงการให้ประชาชนแย่งสิทธิ์กันเอง แล้วคนจนๆ จะเล่นสมาร์ทโฟนกันเป็นไหม จึงอยากขอถามหน่อย เพราะยังมีคนที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน หรือยังมีผู้ที่ขาดโอกาสอย่างตนอีกเป็นจำนวนมาก ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิ์จากการเยียวยาช่วยเหลืออะไรมาก่อนเลยในทุกโครงการ “หากคุณอยากจะแจก อย่าแจกแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง ให้ไปแจกกันตามทะเบียนบ้านเลขที่เลย คนไหนรวยแล้วเขาจะไม่เอาก็ได้ แต่ถ้าแจกอย่างนี้โครงการอะไรตนก็ไม่ได้สักอย่าง” สำหรับปัญหาหนี้สินนั้น ตนก็มีหนี้สินอยู่บ้างจำนวนหลายหมื่นบาท ทั้งหนี้สินจากการกู้ยืมธนาคารออมสิน และหนี้สินจากสถาบันการเงินประเภทเงินด่วนอีกหลายแห่ง แต่ไม่ใช่จะนำมาเป็นปัญหาเพราะตนสร้างนี้เองก็ต้องใช้เอง จึงไม่ต้องการให้ใครมายุ่งหรือมาใช้แทนให้ เพียงแต่เกิดความรู้สึกน้อยใจเกี่ยวกับโครงการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึงจากรัฐบาลมากกว่า เพราะรัฐบาลไม่ยอมฟังเสียงจากประชาชนบ้าง สำหรับรายได้ของตน และภรรยา ซึ่งทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ภายในสวนรุกชาติแห่งนี้ มีรายได้คนละประมาณ 7 พันกว่าบาทต่อเดือนเท่านั้น นายทองวัน ระบุ ด้าน นางปราณี เลิศล้ำ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 563 ม.2 ต.เขาหินซ้อน เพื่อนร่วมงานซึ่งทำงานอยู่ภายในสวนรุกขชาติ แห่งเดียวกับนายทองวัน และภรรยา กล่าวว่า ตนเป็นชาว ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา โดยกำเนิด ที่ผ่านมาไม่เคยได้สิทธิ์อะไรจากโครงการของรัฐบาล เนื่องจากไม่ได้ร่วมลงทะเบียนด้วย เพราะอยากให้คนที่มีโอกาสน้อยกว่าเรา หรือย่ำแย่กว่าเรา และกำลังเดือดร้อนมากกว่าเราได้รับสิทธิ์ไป ส่วนตนนั้น ขณะนี้พึงพอใจกับรายได้ที่มีอยู่จำนวนกว่า 7 พันบาทต่อเดือน หลังจากที่บุตรทั้ง 3 คนได้เรียนจบจนมีงานทำกันหมดแล้ว และยังส่งเสียเงินมาให้ตนใช้ด้วย ขณะที่สามีได้เสียชีวิตไปนานแล้ว เมื่อกว่า 10 ปีก่อน ส่วนคนที่ย่ำแย่กว่าเราจะได้รับสิทธิ์หรือไม่นั้น อยู่ที่ดุลยพินิจ หรือการพิจารณาจากรัฐบาล สำหรับเรื่องที่เพื่อนร่วมงานคิดสั้นนั้น ได้บอกกับเขาไปแล้วว่า หากไม่มีใครช่วยเหลือ ตนก็อยากจะช่วยเหลือเอง ส่วนคนที่ไม่ได้รับสิทธิ์ทั่วทั้งประเทศนั้น ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละบุคคล ตนไม่มีอะไรที่จะไปแนะนำ นางปราณี กล่าว