หลังจากที่ พล.อ. มิน อ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นำกองทัพ Tatmadaw ของเมียนมาก่อการรัฐประหาร เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา
ส่งผลให้กองทัพไทย ถูกจับตามองอีกครั้งในฐานะที่ประเทศไทยเกิดการรัฐประหารขึ้นบ่อยครั้ง และเกิดกระแสข่าวลืออยู่เนืองๆ
ทั่วโลกมองกันว่า พล.อ.มิน อ่องหล่าย ได้ศึกษาแนวคิด แนวทางการรัฐประหารของไทยที่ผ่านมาโดยเฉพาะการรัฐประหาร ที่นำโดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมาด้วย
จึงไม่แปลกที่จะมีการเทียบเคียงเปรียบเทียบ ความเหมือนและความต่างของรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.มิน อ่องหล่าย และ พล.อ.ประยุทธ์ ที่วันนี้ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรี และควบ รมว.กลาโหม เข้าสู่ปีที่7
แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่า จุดกำเนิดของ พล.อ.ประยุทธ์ มาจากการรัฐประหารเป็นหัวหน้ารัฐประหาร และเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจ และทำให้อยู่ได้จนวันนี้
พล.อ.มิน อ่องหล่าย มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้นำทางทหารไทยมายาวนาน ตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยได้มาเยือนกองทัพไทยในยุคที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในปี 2555 ซึ่งเป็นโอกาสที่เข้าพบ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษในเวลานั้น และเอ่ยปากขอเป็นลูกบุญธรรม เนื่องจาก ป๋าเปรม รุ่นราวคราวเดียวกับบิดาของตนเองที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2545
พล.อ. มิน อ่องหล่าย ยังไปพบปะหารือกับพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก อยู่หลายครั้ง และทุกครั้งที่มาประชุมหรือมาเยือนกรุงเทพ ก็จะมาพบพล.อ.ประยุทธ์ เสมอ
จนที่สุดพล.อ.ประยุทธ์ ก่อการรัฐประหารและเป็นนายกรัฐมนตรีพล.อ. มิน อ่องหล่าย ก็มาเยี่ยมที่ทำเนียบรัฐบาล
ด้วยเหตุที่ผู้นำทหารไทยก็รู้ดีว่าพล.อ. มิน อ่องหล่าย มีอำนาจทางทหารสูงสุดในเมียนมา และเป็นทายาทของ พล.อ.อาวุโสตาน ฉ่วย อดีตผู้นำสลอร์ค จึงยิ่งให้ความสำคัญ และคบหาติดต่อพูดคุยอยู่เนืองๆ
จนพล.อ. มินอ่องหล่าย พาครอบครัวมาเที่ยวกรุงเทพ แบบส่วนตัวก็จะมาพบปะพูดคุยกับผู้นำทหารไทยเสมอๆ
ชื่อเสียง ของพล.อ. มิน อ่องหล่าย ปรากฏชัดในคลิปถังเช่าที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช. กลาโหมในเวลานั้น พูดคุยทางโทรศัพท์กับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และถูกแอบบันทึกเสียงไว้ ถูกนำมาปล่อย ก็เอ่ยถึง พล.อ. มินอ่องหล่าย ว่าเป็นนายทหารที่ฝ่ายไทยจะต้องดึงเป็นพวกให้ได้เพราะจะช่วยประสานดูแลในเรื่องที่เกี่ยวกับเมียนมาได้ทั้งหมด
ทุกครั้งที่มาเยือนเมืองไทยและพบเจอผู้นำทหารโดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารสูงสุดในแต่ละยุคพล.อ. มิน อ่องหล่าย ก็จะโผเข้ากอดอย่างสนิทสนม
มีรายงานว่าในห้วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพล.อ. มิน อ่องหล่าย เคยเปรยเรื่องสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมาให้กับผู้นำทหารไทยฟัง แล้วทำให้ผู้นำทหารไทยคาดคิดไปเองว่าในอนาคตพล.อ. มิน อ่องหล่าย อาจจะต้องเข้ายึดอำนาจควบคุมเมียนมาอีกครั้ง
ความเด็ดขาดของพล.อ. มินอ่องหล่าย ปรากฏชัดเมื่อครั้งปราบปรามชาวโรฮีนญา ที่รัฐยะไข่ จนกลายเป็นประเด็นในสังคมโลกแต่ก็สะท้อนถึงการเป็นนายทหารที่ให้ความสำคัญในเรื่องเชื้อชาติอย่างมาก
การรัฐประหารในเมียนมาเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมานั้นจึงถูกมองว่ามีความเหมือนคล้ายกับรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์เมื่อ 2557
ทั้งการเลือกวัน ก่อการที่จะมีการเปิดประชุมสภาเป็นวันที่มีการรวมตัวกันพอดี ทหารพม่าจึงรวบหมดแล้วแยกย้ายไปคุมตัว เพียงแต่ไม่ได้ถูกเรียกว่านำไปปรับทัศนคติ เช่น รัฐประหารของพล.อ.ประยุทธ์
ทั้งการตั้งข้อหา ออง ซาน ซูจีว่านำเข้าวิทยุผิดกฎหมาย ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งข้อหา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น เรื่องทุจริตโครงการจำนำข้าว
แมั พล.อ. มิน อ่องหล่าย จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินควบคุมอำนาจเป็นเวลา 1 ปี พพร้อมประกาศจะจัดการเลือกตั้งที่โปร่งใสและเป็นธรรมขึ้นหลังจากนั้นก็ตาม
แต่ด้วยบทเรียนจากการรัฐประหารของพล.อ.ประยุทธ์ทำให้ไม่มีใครเชื่อว่า พล.อ. มิน อ่องหล่าย จะครองอำนาจแค่ปีเดียว เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นนายกฯคสช. นานถึง 5 ปีและเตรียมตัว ในการสืบทอดอำนาจได้อย่างแยบยล
ขณะที่พล.อ. มินอ่องหล่าย ไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญเช่นพล.อ.ประยุทธ์ที่มีการร่างใหม่ หลังจากนั้น
แต่พล.อ. มินอ่องหล่าย อ้างรัฐธรรมนูญในการรัฐประหารด้วยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วยึดอำนาจและใช้อำนาจมาตรา 419 ตามรัฐธรรมนูญแห่งรัฐในการตั้งสภาบริหาร แห่งรัฐขึ้นมาโดยมีพล.อ. มิน อ่องหล่าย เองเป็นประธานร่วมด้วยผู้นำทหารและพลเรือนรวม 11 คนที่เปรียบได้กับเป็นคณะรัฐมนตรีที่จะบริหารประเทศคล้ายๆกับการย้อนยุคไปยุคพล.อ.อาวุโสตานฉ่วย แห่ง SLORC ที่มีสภาฟื้นฟูกฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งรัฐ ขึ้นมาดูแลประเทศยาวนาน
ในเวลานั้นพล.อ. มิน อ่องหล่าย อยู่กับพล.อ.ตานฉ่วย มายาวนานก็คงได้ซึมซับแนวคิดต่างๆไว้ไม่น้อย
อีกทั้งการรัฐประหารในประเทศไทยที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์นั้นก็สามารถอยู่ได้ถึง 5 ปีแม้จะมีการประท้วงคัดค้านจากสหรัฐอเมริกาและประเทศประชาธิปไตยต่างๆแต่ประเทศไทยก็อยู่มาได้โดยไม่เดือดร้อน
ครั้งนั้นพล.อ.ประยุทธ์ และ พี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ใช้นโยบายการต่างประเทศในการเอียงเข้าหาประเทศจีน มหาอำนาจโลกจนทำให้สหรัฐเองต้องปรับท่าทีอ่อนลง
ขณะที่พล.อ. มิน อ่องหล่าย ก็เชื่อมั่นว่าตนเองจะมีจีนหนุนหลัง จึงไม่ต้องห่วงการประท้วงคัดค้านของสหรัฐอเมริกาที่มีประธานาธิบดีคนใหม่อย่างโจ ไบเดน และประเทศประชาธิปไตยต่างๆเพราะเมียนมาก็เคยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มานานเกือบ 30 ปีก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง ก่อนที่ อองซาน ซูจี จะได้มาเป็นผู้นำ
แต่ที่สุดก็ถูกพล.อ. มิน อ่องหล่าย จับกุมตัวและยึดอำนาจโดยข้อหาการเพิกเฉยต่อการทุจริตการเลือกตั้ง
แต่แน่นอนว่าในอีกมุมหนึ่งในมุม ดาร์ค พล.อ. มิน อ่องหล่าย ก็ถูกมองว่าที่ต้องก่อการรัฐประหารเพราะพรรคการเมืองฝ่ายทหารแพ้การเลือกตั้งอย่างหลุดลุ่ย ให้แก่พรรคเอ็นแอลดี. ของอองซานซูจี และมองทิศทางในอนาคตว่าอองซานซูจี จะคุมอำนาจคุมกองทัพ ด้วยกระแสประชาธิปไตย
และสอเค้าว่า อองซาน ซูจี อาจจะไม่ยอมต่ออายุราชการให้ พล.อ. มินอ่องหล่าย ได้ดูแลกองทัพต่ออีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยต่ออายุมาแล้วเพราะนางอองซานซูจีเองก็หวาดระแวงพล.อ. มินอ่องหล่าย มาตลอด
เหตุผลในการรัฐประหารของเมียนมา ไม่ซับซ้อนเท่าการรัฐประหารของพล.อ.ประยุทธ์ ที่นอกจากมีเรื่องของการแย่งชิงอำนาจความขัดแย้งแล้วยังมีเรื่องของการปกป้องสถาบันกษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นอกจากนี้ในการแต่งตั้งสภาบริหารแห่งรัฐก็มีการนำนายทหารมาเป็นคณะรัฐมนตรีเสียส่วนใหญ่คล้ายๆคณะรัฐมนตรีของคสช. แต่ทว่าความจริงแล้วพล.อ.ประยุทธ์ในครั้งนั้นน่าจะลอกแนวคิดการตั้งครม.ทหารมาจากเมียนมา จากการรัฐประหารสลอร์ค ของพล.อ.ตานฉ่วย ในยุครัฐบาลสลอร์คนั่นเองมากกว่าจึงเรียกได้ว่า ทหารไทยและทหารเมียนมา มีการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
จึงไม่แปลกที่เมื่อเกิดเหตุรัฐประหารในเมียนมาจะทำให้การเมืองภายในประเทศไทยเกิดความวุ่นวายขึ้น
เพราะนักการเมืองฝ่ายค้านโดยเฉพาะคณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกลและม็อบคณะราษฎร มีจุดยืนในการต่อต้านรัฐประหารอยู่แล้ว จึงได้เชื่อมโยงรัฐประหารในไทยและเมียนมาและนำมาโจมตีกระทบชิ่งพล.อ.ประยุทธ์และกองทัพไทย
อีกทั้งการต่อต้านรัฐประหารในเมียนมาร์ที่เกิดขึ้นก็มีการใช้สัญลักษณ์ชูสามนิ้วเหมือนม็อบในประเทศไทย
แต่หากมองมาที่กองทัพในเวลานี้ไม่มีกระแสข่าวลือเรื่องการรัฐประหารเหมือนในช่วงที่มีการชุมนุม็อบเบิ้มๆ ของม็อบคณะราษฎร
พล.อ.ประยุทธ์ ในเวลานี้ ยังคงคุมอำนาจกองทัพในมือได้ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม แม้ว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดนี้อาจจะไม่ใช่น้องรักสายตรงของพล.อ.ประยุทธ์พล.อ.ประวิตร หรือแม้แต่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เรียกกันว่าแผงอำนาจ3 ป. ก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าเป็นน้องสายเลือดเตรียมทหารที่ยังคงที่เคยทำงานมาด้วยกัน
ยังไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดการรัฐประหาร และเป็นที่รู้กันว่าการรัฐประหารในประเทศไทยจะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆแบบในเมียนมา จากปัญหาทางการเมืองและปัญหาระหว่างกองทัพกับรัฐบาล
แต่ทว่าการเมืองของไทยซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่าและโดยเฉพาะมีประเด็นเรื่องของการปฏิรูปสถาบันและการปกป้องสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เพราะกองทัพยังคงทำหน้าที่ในการปกป้องและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อย่างที่สุด
การรัฐประหาร ท่ามกลางสถานการณ์โควิด ก็ยังเกิดขึ้นได้ในเมียนมา เป็นการสะท้อนได้ว่าบททหารจะยึดอำนาจขึ้นมาก็ไม่ต้องสนใจปัจจัยอื่น
ส่วนทหารไทยนั้นก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามปัจจัยภายในประเทศที่ย่อมแตกต่างจากเมียนมา แต่ไม่ได้หมายความว่าการรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย เพราะไม่มีใครหยั่งรู้อนาคตได้