ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
พ่อของสมเกียรติแม้ไม่ได้เรียนสูงๆ แต่ก็มีอุดมการณ์สูงส่ง
พ่อของสมเกียรติมีภรรยาหลายคน แต่ก็รับเลี้ยงทุกคนเป็นอย่างดี แม่ของสมเกียรติเป็น “หญิงสูงศักดิ์” อย่างที่สมัยนี้เรียกกันว่า “ไฮโซ” เมื่อพ่อของสมเกียรติโตเป็นหนุ่ม ด้วยการทำงานหามรุ่งหามค่ำในบ้านของเพื่อนที่เป็นร้านขายเหล็กแถวรองเมือง ทำให้พอที่จะซื้อรถมอเตอร์ไซค์มาขับขี่เสริมฐานะได้ วันหนึ่งขี่ไปแถวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบกลุ่มนิสิตสาว ๆ กำลังเดินหนีการแทะโลมของนักเรียนอาชีวะที่อยู่ใกล้ ๆ พ่อได้แสดงวีรกรรมเข้าไปช่วยเหลือ แม้จะบาดเจ็บจนสะบักสะบอม แต่ก็ได้รับผลตอบแทนที่งดงาม เพราะสาวไฮโซได้แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน กระทั่งหายเจ็บออกจากโรงพยาบาลแล้ว พ่อก็ทำทีว่าเอาข้าวของไปเยี่ยมแสดงความขอบคุณ และยังลอบคบหากันมาอีกจนกระทั่งสาวไฮโซนั้นเรียนจบ จนกระทั่งเกิดมีลูกด้วยกัน ซึ่งก็คือสมเกียรติ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวของผู้หญิง โดยฝ่ายหญิงได้แต่งงานใหม่กับนายทหาร แต่ก็อยู่กันไม่นาน เช่นเดียวกันกับที่มาแต่งงานอีกหนกับนักธุรกิจ ก็ต้องร้างลาไปในเวลาไม่นาน
สมเกียรติไม่ชอบพูดถึงเรื่องแม่ แต่ที่ทราบรายละเอียดมาข้างต้นก็มาจากคำบอกเล่าของเพื่อน ๆ ของเขาเอง แต่สมเกียรติจะชอบพูดถึงเรื่องของพ่อมากกว่า หลังจากวันที่นัดเลี้ยงกันครั้งแรกนั้นแล้ว เราก็ยังมีนัดพบปะกันอยู่บ่อย ๆ เพราะผมยังถือเป็นพันธกิจที่จะต้องใช้สมเกียรตินำเข้าสู่โยงใยทางธุรกิจของกลุ่มพ่อค้าบางกลุ่ม ที่เข้ามาทำหากินกับกระทรวงพาณิชย์ เช่นเดียวกันกับสมเกียรติที่ต้องการจะรักษาสัมพันธภาพกับนักการเมืองที่มีผมช่วยเชื่อมโยง ซึ่งก็คงจะเป็นด้วยเหตุผลในทางธุรกิจเช่นเดียวกัน
สมเกียรติทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งธุรกิจในที่สว่างและในที่มืด ทั้งจากที่สมเกียรติพูดออกมาเอง และจากที่ผมได้เลาะเล็มแอบถาม กับที่คนอื่น ๆ เล่าให้ฟัง ก็พอจะปะติดปะต่อได้ว่า ธุรกิจเหล่านั้นล้วนสืบทอดมาจากที่พ่อของสมเกียรติได้ทำไว้ พ่อของสมเกียรติเป็นคนขยันขันแข็ง มีเพื่อนฝูงมาก เป็นคนใจถึงพึ่งได้ แบบที่เรียกกันว่า “ใจนักเลง” หลังจากที่เลิกกับแม่ของสมเกียรติ พ่อก็พาสมเกียรติมาให้ภรรยาอีกคนหนึ่งช่วยเลี้ยงดู ส่วนพ่อเองก็ออกจากร้านขายเหล็กมาทำกิจการของตัวเองแถวราชวงศ์ แหล่งเดิมที่ก๋งเคยมาเป็นจับกังและเสียชีวิตที่นั้น พ่อร่วมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งรับซื้อรับขายสินค้าทุกชนิด เริ่มจากจัดหาวัตถุดิบจำพวกพืชผลต่าง ๆ ให้โรงงานที่เขาเอาไปทำการแปรรูป ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ค้าขายดีมาก มีบริษัทญี่ปุ่นและอเมริกันสั่งสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ เพิ่มขึ้นทุกเดือน บริษัทของพ่อกับเพื่อนเป็นเอเย่นต์ใหญ่ส่งอาหารให้ฐานทัพอเมริกันทั้งที่อู่ตะเภา ตาคลี อุดร และโคราช แต่ต่อมาเพื่อนของพ่อหักหลัง ทำให้พ่อต้องออกมาทำกิจการเพียงลำพัง แต่อาจจะเป็นด้วยความมุ่งมั่นฝ่าฟันพยายาม รวมถึงที่พ่อได้คบหากับตำรวจและนายทหารหลาย ๆ คน ทำให้ธุรกิจขยายตัวจากการนำเข้าส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคทั่ว ๆ ไป มาสู่ธุรกิจ “สีเทา” จำพวกบ่อนการพนัน ที่สมเกียรติได้ยินจากปากของพ่อว่า “นายอยากทำ” โดยให้พ่อของสมเกียรติจัดหาสถานที่ คนดูแล และคนงาน ทั้งนี้ให้พ่อจ้างพวกทหารและตำรวจระดับหมู่ระดับจ่ามาเป็นลูกจ้างอีกด้วย ซึ่งพ่อก็ทำไว้ 2-3 แห่งในย่านเยาวราชและราชวงศ์นั่นเอง ซึ่งบางแห่งก็เคยมีคนอื่นทำไว้แล้ว แต่ก็อยากวางมือเลยให้พ่อมาดูแลแทน ธุรกิจนี้ไปได้ไม่ดีนักเพราะพวก “นาย ๆ” ทั้งหลายนั่นแหละที่มีการเปลี่ยนหน้าและเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ จนพ่อก็ต้องวางมือไป แต่ก็ยังมีอิทธิพลเหลืออยู่มาก เพราะเป็นผู้รับประกันให้กับ “ผู้เล่น” ซึ่งก็คือพ่อค้าทั้งหลาย ว่าจะได้รับความมั่นใจที่จะเข้าไปเล่นในบ่อนต่าง ๆ ที่จะไม่ถูกเบี้ยว หรือหากมีคดีความก็สามารถให้การช่วยเหลือได้
สมเกียรติเติบโตมาในบ่อนเหล่านี้ เพราะต้องวิ่งเข้านอกออกในติดตามพ่อไป “ดูงาน” ตามบ่อนต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ สมเกียรติถูกเลี้ยงมาอีก 2-3 แม่ เพราะบางแม่ทิ้งพ่อไป และบางแม่ก็อยู่ต่างจังหวัด จนเมื่อพ่อถูกยิงตายในช่วงที่เขาจบปริญญาตรีพอดี เขาก็ต้องมาอยู่กับเจ้าของบ่อนที่เป็นเพื่อนพ่อคนหนึ่ง สมเกียรติจึงทำงานในบ่อนเป็น “เด็กวิ่งของ” คือคอยส่งเงินให้กับผู้เล่น “ขาใหญ่” ทั้งหลาย ที่จะต้องมีการแลกเปลี่ยนและหยิบยืมเงินกันอยู่เป็นประจำ รวมทั้งการรับจำนำจำนองสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยความซื่อสัตย์และเชื่อถือได้ ทำให้สมเกียรติเป็นที่ไว้วางใจและรู้จักมักคุ้นกับผู้คนในวงการต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีนักการเมืองและข้าราชการผู้ใหญ่ในหลาย ๆ กระทรวง รวมถึงในกระทรวงพาณิชย์นี้ด้วย
พ่อสอนสมเกียรติว่า คนที่มีเกียรติคือคนที่ “รู้จักทำมาหากิน” จะเป็นงานอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีอยู่มีกิน ที่สำคัญคืออย่าไปเบียดเบียนใคร คนที่ชอบเบียดเบียนเหล่านี้แม้จะเป็นเจ้าใหญ่นายโต ผู้คนก็ไม่เคารพนับถือ อย่างข้าราชการและนักการเมืองที่มาหากินกับบ่อน พวกคนในบ่อนไม่มีใครเคารพนับถือเลย แต่จะนับถือคนที่มีความกตัญญูรู้คุณ รู้จักเผื่อแผ่ มีน้ำใจ และไม่รังแกคนที่อ่อนแอ ต้องยืนหยัดและอยู่ได้ด้วยตนเอง อย่างสุภาษิตที่พ่อยึดถือที่ว่า “เสือแม้อดโซก็จับเนื้อกินเอง” คืออย่าไปขอใครกิน แต่ถ้าเขาจะให้ด้วยความเมตตาที่เขามีอยู่ในจิตใจ นั่นแหละคือคนที่เราควรกตัญญูและเคารพนับถือ ดังนั้นในชีวิตของพ่อจึงเคารพนับถืออยู่ไม่กี่คน ได้แก่ ญาติพี่น้องของหลวงปู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ที่เคยอุปการะให้ก๋งและพ่อได้พักอาศัยอยู่ช่วงหนึ่งจนหลวงปู่มรณภาพ ครอบครัวของเพื่อนที่ร้านค้าเหล็กย่านรองเมืองที่เอาพ่อมาอุปการะ ให้ข้าวปลาอาหารและสอนงานต่าง ๆ และกลุ่มสุดท้ายก็คือเพื่อน ๆ และผู้มีพระคุณบางคนที่ส่งเสริมเขาในทางธุรกิจ แม้ว่าในบางธุรกิจจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็ทำให้พบว่าสิ่งสำคัญที่สุดในความเป็นมนุษย์ก็คือ “มิตรภาพและความจริงใจ”
ก่อนพ่อจะตายสักอาทิตย์หนึ่ง พ่อพาสมเกียรติไปทานอาหารที่ร้านอาหารฝรั่งที่ว่ากันว่าหรูที่สุดแห่งหนึ่งในโรงแรมเอราวัณ เพื่อเป็นรางวัลที่สมเกียรติจบปริญญาตรี จำได้ว่าเป็น พ.ศ. 2512 เพราะมีการเลือกตั้ง ส.ส. ในปีนั้น ซึ่งสมเกียรติก็ได้ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรกด้วย พ่อบอกว่าพ่อไม่เคยไปเลือกตั้งเลย เพราะพ่อเป็นลูกต่างด้าว แต่พ่อก็รักประเทศไทยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่พ่ออยากจะสัมผัสพระบาทสักครั้งในชีวิต แล้วพ่อก็พูดว่า
“ลูกกราบพระบาทท่านแทนพ่อด้วยนะ พ่อแม้จะเป็นคนเลวก็จะไม่ทรยศต่อประเทศไทย”