ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต [email protected] “โลกแห่งความสุขสงบอันล้ำลึก...ย่อมต้องเกิดขึ้นจากผลึกแห่งแสงเงาอันเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติและชีวิต...เป็นนัยที่บ่งบอกถึงความเป็นไปอันเงียบนิ่งในทางความหมายซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ผูกพันที่ไม่เสื่อมสลาย...ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้าเราอาจมองเห็นอะไรได้อย่างกระจ่างตาโดยไม่มีปริศนาใดใดให้ได้ใคร่ครวญ...แต่ในความรู้สึกแห่งทาบเงาอันขรึมขลัง เรากลับพบกับมิติที่โยงใยไปสู่ความเร้นลับที่ซ่อนบทสะท้อนอันจริงใจในความเป็นนิยามที่ไม่สิ้นสูญของชีวิต...ประกายใจและเงาร่างของความฝันของทุกสิ่งที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับชีวิตมักเป็นเช่นนี้โดยต่างมีโลก...มีเส้นทางแห่งโลกผ่านสีสันของแสงเงาอันเป็นบททดสอบของจิตวิญญาณอยู่ตลอดไป...และตราบในที่สิ่งนี้ยังไม่ได้สูญหาย...ก็แน่นอนว่า...ความงามของคุณค่าในการรับรู้ที่มีอยู่ในตัวตนทุกๆตัวตนก็ยังคงอยู่...เป็นรูปรอยที่ไม่รู้จบรู้สิ้นในหนทางที่เป็นแก่นแท้ของความรื่นรมย์” สาระ ณ เบื้องต้นนี้เป็นบริบทแห่งความเป็นจริงที่ผมได้รับจากหนังสือความเรียงในเชิงสถาปัตยกรรมและศิลปะเล่มสำคัญ...หนังสือความเรียงที่ทำให้เราได้หยั่งรู้และมองเห็นภาพปรากฏในทางความคิดที่มีต่อความรู้สึกด้วยความเข้าใจ... ‘เยิรเงาสลัว’ (In Praise of Shadows) ความชื่นชมและปลื้มปีติในแสงเงาของทุกสิ่งอย่างที่เขียนโดยนักเขียนชาวญี่ปุ่น... ‘จุนิชิโร ทานิซากิ’ และแปลเป็นภาษาไทยได้อย่างซาบซึ้งและประทับใจในมิติภาษาที่เต็มไปด้วยลีลาและการพรรณนาถึง...หัวใจแห่งความหมายของสิ่งบางสิ่งในอารมณ์ลึกนี้โดย ‘สุวรรณา วงศ์ไวศยวรรณ’...จุดมุ่งหมายอันแท้จริงของ ‘ทานิซากิ’ ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือการให้ความสำคัญต่อภาวะที่มีความหมายอันล้ำลึกต่อชีวิต...นั่นคือการเรียกร้องเอา “โลกแห่งความสลัว” ที่กำลังสูญเสียไปให้กลับคืนมา...โดยเขาได้เปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างในรสนิยมและทัศนคติที่แตกต่างกันระหว่างชาวตะวันออกกับชาวตะวันตกไว้อย่างน่าสนใจว่า... “ชาวตะวันออกถือว่าความมืดในยามค่ำคืนเป็นสิ่งที่พึงยอมรับ และถ้าแสงมีอยู่น้อยก็ยอมรับว่ามีน้อย แต่ชาวตะวันตกจะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดความมืดและก่อแสงสว่างยิ่งขึ้นทุกที...จากเทียนไปสู่โคมน้ำมัน...จากโคมน้ำมันสู่ตะเกียงก๊าซ...หรือจากตะเกียงก๊าซสู่ไฟฟ้า...” แต่โดยแท้จริงแล้ว...พื้นที่ในแต่ละพื้นที่บนโลกของเรานี้...ล้วนมีธรรมชาติเป็นผู้ให้แสงสว่าง...และให้ความมืด...อย่างละครึ่งเวลาสลับสับเปลี่ยนกัน...โดยมนุษย์สามารถที่จะประกอบกิจการงานต่างๆได้อย่างสะดวกในเวลากลางวันและพักผ่อนนอนหลับได้ในเวลากลางคืน ประเด็นส่วนนี้ได้ให้ข้อพินิจพิเคราะห์ว่า...หากมนุษย์เราทุกคนปฏิบัติตนตามเกณฑ์ของธรรมชาติเช่นนั้นแล้ว...ความจำเป็นที่จะดื้อดึงใช้แสงสว่างในเวลากลางคืนก็แทบจะไม่มี... “คนหนุ่มสาวหรือคนที่เคยเป็นหนุ่มสาวมาก่อนคงจะย้อนรำลึกได้ว่า เมื่อรับประทานอาหารค่ำด้วยแสงเทียนแทนแสงจ้าของไฟฟ้า เปลวเทียนจะสะท้อนประกายกะพริบแวววาวอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในดวงตาของผู้ร่วมรับประทาน ดีกว่าแสงไฟฟ้าอันแข็งขึงเป็นไหนๆ” คำกล่าวเชิงเปรียบเทียบของท่าน ‘อาจารย์นิจ หิญชีระนันท์’ อดีตนายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้อำนวยการสำนักผังเมืองกระทรวงมหาดไทย...ที่เกี่ยวเนื่องและเชื่อมโยงทางความคิดมาจากหนังสือเล่มนี้...แสดงถึงเจตจำนงที่จะเน้นย้ำให้ผู้อ่านทุกๆคนได้มองเห็นถึงภาวะอันลึกซึ้งของแสงเงาที่เงียบสงบ...แสงเงาที่ส่องสว่างอยู่พอดีพองามสอดรับกับการรับรู้ในรู้สึกต่อปฏิกิริยาแห่งความเป็นชีวิตอันแท้จริง... โดยส่วนตัว...บทสะท้อนความคิดในเรื่องแสงเงา...ตามมิติแห่งสุนทรียภาพของ ‘ทานิซากิ’ เป็นสุนทรียภาพที่เดินตามรอยอยู่บนอารมณ์ของคนเศร้าสร้อย...ผู้อาจถูกคิดได้ว่า...เป็นคนที่มองสิ่งต่างๆในแง่ลบ...ไม่ได้มองด้วยภาวะศรัทธาของความงามตามแบบอย่างของการมองโลกในแง่บวกที่เต็มไปด้วยสีสันอันสดใส...ประเด็นอันชวนขัดแย้งนี้...มีส่วนทำให้หลายๆคนไม่เห็นด้วยกับทรรศนะและข้อเสนอในการมองโลกของ ‘ทานิซากิ’ ที่ดูเหมือนจะเฝ้าร้องร่ำหาแต่สิ่งที่มีชีวิตอันเป็นสมบัติของอดีตเท่านั้น...ร่ำร้องอยู่กับมุมมืดเก่าๆโดยไม่เปิดตามองถึง...สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆที่อารยธรรมตะวันตกได้หยิบยื่นให้วิถีชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่สะดวกสบายโดยไม่ต้องคอยพะวงอยู่กับความยากลำบากในการใช้ชีวิตท่ามกลางอารยธรรมที่ล้าหลัง... “ข้าพเจ้าทราบดีและรู้สึกเป็นบุญคุณต่อคุณประโยชน์ทั้งหลายแห่งโลกสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าเราจะคร่ำครวญร้องบ่นอย่างไร ญี่ปุ่นก็ได้เลือกที่จะเดินตามโลกตะวันตก และญี่ปุ่นก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากจะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ...ทอดทิ้งคนเก่าแก่อย่างเราๆไว้เบื้องหลัง” เสียงคร่ำครวญถึงสิ่งที่ญี่ปุ่นได้สูญเสียไปจากการปรับประเทศให้ทันสมัยที่ออกมาจากปากของ ‘ทานิซากิ’...ย่อมบ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงอันปวดร้าวแห่งชีวิตในทางวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น...อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก...เพราะแท้จริงแล้ว...บ้านเรือนในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์และในคาบสมุทรแปซิฟิกกับในประเทศญี่ปุ่นล้วนมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก โดยเฉพาะ “มันไม่เหมือนบ้านของชาวตะวันตกเลย ฉะนั้นบ้านของคนญี่ปุ่นดั้งเดิมจึงเป็นบ้านที่มีความหนาวเย็นไร้ความผาสุกในฤดูหนาว และทำให้สันนิษฐานกันว่าชาวญี่ปุ่นนั้นแท้ที่จริง...เดิมก็คือชาวภาคพื้นที่มีอากาศร้อนซึ่งอพยพย้ายถิ่นขึ้นไปเรื่อยๆ...แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้เรียนรู้ถึงวิธีออกแบบและก่อสร้างอาคารสำหรับอากาศหนาวเย็น...บ้านแบบประเพณีของญี่ปุ่นจึงมีบรรยากาศภายในสลัวเหมือนเรือนไทยโบราณของไทยและของชาวภาคพื้นเอเชียอาคเนย์และคาบสมุทรแปซิฟิก” ว่ากันว่า...ในบรรดาอุปกรณ์และประดิษฐกรรมที่มีอยู่รอบตัวมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่นานาประการ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรศัพท์ เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ รถยนต์ เครื่องบิน ตลอดจนคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดล้วนทำให้สุขภาพทั้งทางกายและจิตของมนุษย์ถึงขั้นวิกฤตและพินาศลง โดยเฉพาะอาการเสื่อมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับแสงในลักษณะนี้ที่เรียกว่า “Light Syndrome” รวมทั้งบรรดาอาคารตึกสูงเสียดฟ้าทั้งหลาย...ที่ถูกอาบแสงผนังรอบด้านด้วยผืนแก้วกระจกใสอย่างที่เรียกว่า “ผนังกระจก” (Glass Wall) ก็เลยมีส่วนทำให้นัยน์ตาและประสาทอื่นๆของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องต้องได้รับผลกระทบจากพิษอันร้อนแรงของแสงที่ส่องสว่างจนเกินต้องการ...มีการเปรียบเทียบภาวะของแสงที่อยู่ในสภาวะอันเหมาะสมและกลมกลืน...เป็นคุณค่าของ “แสงสลัว” ผ่านมิติของการใช้ทองคำเอาไว้อย่างน่ารับฟัง... “การใช้ทองคำอย่างฟุ่มเฟือยของศิลปินทั้งหลายในอดีต...มาจากความรู้ที่ว่าทองคำนั้นทอแสงจากความมืดและสะท้อนแสงโคมได้อย่างลึกซึ้ง...” ในพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ...มีความตอนหนึ่งได้ระบุถึง...บรรยากาศแห่งความเป็นแสงของทองคำไว้อย่างน่าประทับใจ “เมื่อว่าถึงความคิดส่องแสงสว่าง...จะต้องสรรเสริญถึงชาวไทยเมื่อครั้งสมัยสุโขทัย...ที่วิหารพระพุทธชินราชเมืองพิษณุโลก...ฉันไปเห็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2435...เวลานั้นยังไม่ได้ปฏิสังขรณ์แก้ไขวิหารให้สว่างอย่างทุกวันนี้ พอไปถึงประตูวิหาร แลเข้าไปข้างใน ดูที่อื่นมืดหมด เห็นแต่องค์พระชินราชตระหง่านงามเหมือนลอยอยู่ในอากาศเห็นเข้าก็จับใจเกิดเลื่อมใสในทันที...เพราะเขาทำช่องให้ส่องแสงสว่างเข้าทางประตูใหญ่ด้านหน้าแต่ทางเดียว...เมื่อปฏิสังขรณ์แล้วในวิหารไม่มืดเหมือนแต่ก่อน...ไปกลางวันไม่จับใจอย่างเมื่อไปครั้งแรก”...พระนิพนธ์นี้ถูกยกมาอ้างอิงโดยท่าน “อาจารย์นิจ หิญชีระนันท์” เพื่อเป็นบทสะท้อนให้เห็นเบื้องลึกแห่งเจตจำนงของ ‘ทานิซากิ’ ว่าทำไมเขาถึงได้เน้นย้ำให้ทุกคนได้คำนึงถึงการที่จะชื่นชมกับ “แสงสลัว” โดยเฉพาะกับแบบอย่างของการมีชีวิตอยู่ตามครรลองของคนตะวันออก ซึ่งมีโอกาสจะเข้าใจในคุณค่าของความมืดสลัวได้ดีกว่าผู้อื่น...นับเนื่องตัวอย่างทางสถาปัตยกรรมจากภายในโบสถ์วิหารหรือภายในเรือนไทยโบราณ ซึ่งอาจใช้วัสดุก่อสร้างเป็นกำแพงอิฐก่อหรือเป็นผนังไม้แตกต่างกันออกไป แต่จะมีสิ่งหนึ่งซึ่งเหมือนกันตลอดมาในอาคารเหล่านี้คือ... “แสงเทียนหรือโคมหวดตามประทีปริบหรี่ในความมืดสลัว ซึ่งต่างจากอาคารสมัยใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟฟ้าที่สว่างไสวอยู่ภายในผนังกระจกรอบด้าน” เหตุนี้ผู้ซึ่งเคยเข้าโบสถ์และวิหารหรือเคยอยู่อาศัยในเรือนไทยโบราณมาแล้วจึงอาจเข้าใจความมืดสลัวในคุณค่าของมันได้ดีกว่าผู้อื่น...นั่นคือวิถีโดยรวมของชาวโลกตะวันออกที่ปรากฏอยู่ตามที่ต่างๆ...ทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง...อันถือเป็นนัยแห่งภาพแสดงของการมีแสงสลัวอยู่ในพื้นที่โดยรอบ... ‘ทานิซากิ’ เหมือนจะเลือกเอาการปรากฏของแหล่งแสงสลัว...เป็นทิศทางในการเขียนของเขาที่วูบไหวไปตามอารมณ์ความรู้สึกอันแท้จริง...ปรากฏอยู่ตรงนั้นบ้าง...ตรงนี้บ้าง...โดยไม่ได้เรียงลำดับกันไป...อาจนับเป็นความไร้ระเบียบ...แต่ก็อาจนับเป็นความงามที่ผสานเข้าสู่กันด้วยความหมายที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา...ภายใต้แก่นเรื่องอันมีเอกภาพที่มั่นคง และสามารถสร้างบริบทของความคิดทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวได้ด้วยความงดงามแห่งจิตใจ ไม่ว่า...จะเป็นในห้วงเวลาของการพูดถึง...ผู้หญิงโบราณ...การชมจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง...ฝาผนังบ้าน...ห้องสุขากระดาษญี่ปุ่น ฯลฯ ‘ทานิซากิ’ เพียงแต่ตอกย้ำประเด็นเดียวถึงรสแห่งความงามแบบญี่ปุ่นที่ว่า “เงาสลัวเป็นปัจจัยที่ขาดเสียมิได้ในการเข้าถึงรสแห่งความงามนั้น” อย่างไรก็ตาม... ‘ทานิซากิ’ ได้แสดงนัยความคิดในการต่อสู้ปกป้องโลกแห่งแสงเงาในบริบทที่น่าชื่นชมของอดีตเอาไว้...เป็นนัยความคิด...ที่ฝังลึกอยู่กับความหวังที่จะได้เห็น “โลกแห่งเงาสลัว” ที่สามารถคืนกลับมาอยู่ในสำนึกของผู้คนสมัยใหม่ ไม่ว่ามันจะกลับมาอยู่ตรงส่วนไหนก็ตาม...การกลับมาของมันก็ย่อมต้องมีค่าต่อสำนึกทางใจเสมอ...แม้ว่ามันจะอยู่ในบริบทแห่งความเป็นจริงที่ยากลำบากสักเพียงใดก็ตาม... “เราต้องยอมรับความจริงว่าตราบเท่าที่สีผิว...ของเรายังเป็นอย่างที่เป็นอยู่...เราจะเรียกร้องเอาความสูญเสียที่เราต้องชดใช้กลับคืนมาไม่ได้...ที่ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งหมดนี้...ก็ด้วยความคิดที่ว่ายังอาจจะมีช่องทางที่จะรักษาเอาไว้ได้บ้าง บางทีอาจเป็นโลกแห่งวรรณกรรมหรือศิลปะ” ‘ทานิซากิ’ ได้อ้างถึงบรรพบุรุษ...ผู้สร้างบทกวีจากทุกสิ่งในชีวิตที่ได้เปลี่ยนแปลงห้องซึ่ง ห้องสุขาเก่าๆของญี่ปุ่นมี “แสงสลัวและสะอาดหมดจด”...ถึงขนาดมีคำกล่าวในเชิงเปรียบเทียบที่เห็นภาพพจน์ว่า... “ห้องรับแขกอาจมีมนต์เสน่ห์ แต่ห้องสุขาเป็นที่สงบแห่งจิตวิญญาณโดยแท้ ‘ทานิซากิ’ ได้พยายามชี้ให้เห็นการรู้จักเปิดรับเอาสุนทรียรสแบบตะวันออกว่าเป็นสิ่งสำคัญ แม้เขาจะยอมรับว่า เขาไม่รู้เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย รวมทั้งการแสดงทรรศนะต่างๆออกมาก็เป็นประหนึ่ง “การปรนเปรอใจตนเองด้วยความคิด” แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเน้นย้ำเป็นปณิธานว่า...ชาวตะวันออกสมควรที่จะคิดค้นประดิษฐ์เครื่องใช้ไม้สอยประจำวันโดยตัวของเราเอง...เพราะ “สิ่งเหล่านี้ย่อมมีอิทธิพลอันลึกซึ้งต่อวิถีแห่งการดำรงชีวิตในแต่ละวัน รวมไปถึงอิทธิพลต่อการปกครอง ศาสนา ศิลปะ และธุรกิจทั้งหลาย...แม้นว่าเป็นได้อย่างที่ข้าพเจ้าคิด ชาวตะวันออกย่อมสามารถบุกเบิกโลกแห่งเทคโนโลยีซึ่งเป็นแบบฉบับของตนเองได้อย่างเต็มที่” ‘เยิรเงาสลัว’ (In Praise of Shadows) คือหนังสือของการเรียนรู้รสนิยมอันงดงามแห่งชีวิตผ่านมิติของแสงและเงา (Light & Shade) ด้วยนัยอันเป็นดุลยภาพทางความรู้สึกของชาวตะวันออก ที่มีคุณค่าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะหยิบขึ้นมาอ่าน ณ เมื่อใด...ข้อโต้แย้งกับอารยธรรมใหม่ทางตะวันตกที่นิยมการสื่อสารแบบเปิดเผยแจ้งชัดและด้วยกำลังแรงของพลังส่องสว่างอันเจิดจ้า ทำให้โลกแห่งความสงบงามในวิถีที่ล้ำลึกของจิตวิญญาณอันมีคุณค่าต้องสูญสิ้นไป...รูปรอยอันเป็นดั่งสถาปัตยกรรมของความศักดิ์สิทธิ์เร้นลึก ย่อมต้องเกิดขึ้นด้วยวิถีที่บุคคลแต่ละบุคคลได้สื่อสารเนื้อในของอารมณ์ความรู้สึกออกมาผ่านเงาร่างของความหมายที่ส่องสะท้อนตัวตนด้วยประกายใจแห่งสำนึกรับรู้ที่พอเหมาะพอดี...บนพื้นที่ชีวิตอันรื่นรมย์ล้ำลึกและบนพื้นฐานของความอ่อนโยนและสงบเย็น ‘จุนิชิโร ทานิซากิ’ (ค.ศ.1886 – 1965) ในฐานะนักเขียนที่เขียนทั้งนวนิยาย บทละคร และบทความ สร้างเสน่ห์ในงานเขียนเชิงความเรียงเรื่องนี้ของเขาได้อย่างสุดวิเศษดุจมนต์เสน่ห์แห่งปีศาจ (diabolism)...ที่มีทั้งโลกแห่งผัสสะ...โลกแห่งความพึงพอใจในบรรยากาศของความงดงามสูงส่ง...แม้ว่าผลงานในหลายๆชิ้นที่ทรงพลังของเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทำนองว่า “เป็นงานเขียนของคนวิปริตผิดธรรมดา...หรือมีลักษณะของคนที่มีความพึงพอใจ หากก่อให้เกิดความทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่น” แต่สำหรับ ‘เยิรเงาสลัว’ ความชื่นชมในภาพสะท้อนของภาพสะท้อนจากปรากฏการณ์ของแสงที่ตัดผ่านเข้าสู่ก้นบึ้งแห่งอารมณ์ลึกของมนุษย์...คือหัวใจของหนังสือเล่มหนึ่ง...ซึ่งมีข้อเรียกร้องพิเศษถึงศรัทธาแห่งการดำรงอยู่ที่มีพื้นฐานแห่งความงามเป็นดอกผลอันเป็นนิรันดร์ “ข้าพเจ้าจะขอเรียกร้องเอาโลกแห่ง ‘เงาสลัว’ ที่เรากำลังสูญเสียไปให้กลับคืนมา...อย่างน้อยก็ในวรรณกรรม...ในคฤหาสน์แห่งวรรณกรรมนี้ ข้าพเจ้าอยากให้มีชายคาหนาทึบและกำแพงมืดสลัว...ข้าพเจ้าจะผลักสิ่งที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนเกินไป...ให้กลับไปอยู่ในแดนแห่งเงาสลัว และปลดเปลื้องสิ่งอันไร้ประโยชน์ทิ้งเสีย...ข้าพเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้เป็นเช่นนี้ไปเสียทุกหนทุกแห่ง...แต่บางทีเขาอาจจะยอมให้เรามีคฤหาสน์สักหลัง ที่เราจะเปิดไฟให้มืดสลัวและคอยดูซิว่าจะเป็นอย่างไร”