เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่วัดป่าบ้านวไลย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระครูสันติธรรมานุยุต หรือพระสุชาติ ชาตสุโข เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านวไลย พร้อมคณะสงฆ์และศิษยานุศิษย์จำนวนมากร่วมในพิธีเปลี่ยนจีวรสรีระสังขาร หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม วัดป่าบ้านวไลย ที่บรรจุไว้ในโลงแก้วหลังหลวงปู่ฉลวยมรณภาพนานร่วม 28 ปี หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม พระสุปฏิปันโน ศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2449 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย ที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ในตระกูลงามสมภาค บิดาชื่อนายจ้าย มารดาชื่อนางแจ๋ว มีพี่น้องรวม 2 คน คือหลวงปู่ กับน้องชายชื่อ นายแฉล้ม มีเชื้อจีนเพราะก๋งเป็นจีนนอก นายจ้ายบิดาเป็นเจ้าสัว รับซื้อข้าวจากชาวนาแล้วนำลงเรือสำเภาไปขาย มีที่นาให้เช่าและมีเงินให้กู้ เมื่อเด็กเกิดมาตั้งชื่อว่า "ด.ช.หวย" หลวงปู่ได้มาเปลี่ยนเป็น "ฉลวย" ในภายหลัง เมื่อเจริญวัยขึ้นพอสมควรแก่การศึกษา มารดาจึงส่งให้ไปเรียนหนังสือที่วัดใกล้ๆบ้านจนกระทั่งพออ่านออกเขียนได้จึงกลับมาอยู่ที่บ้านอีก เมื่ออายุยังไม่ถึง 20 ปี ท่านได้กับลูกจ้างจนเกิดบุตรชายคนหนึ่ง ก็พอดีกับอายุครบบวชตามประเพณีของคนไทย ในปี พ.ศ.2469 หลวงปู่จึงเข้ารับการอุปสมบทในคณะสงฆ์มหานิกาย ที่วัดพระญาติ โดยมีหลวงพ่อกลั่นเป็นพระอุปัชฌาย์ บิดามารดาได้จัดงานให้ใหญ่โต หลวงปู่อุปสมบทอยู่เกือบปีได้ศึกษาพื้นฐานและเริ่มต้นปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน และตั้งใจว่าจะไม่ลาสิกขา แต่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารอยู่ 2 ปี ปี พ.ศ. 2488 หลวงปู่มีอายุ 39 ปีเข้ารับการอุปสมบทในคณะสงฆ์มหานิกายที่วัดโคกช้าง อ.อุทัย มีพระอุปัชฌายะคือหลวงพ่ออั้น ลูกศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ต่อมาหลวงปู่ได้ออกจาริกไปหาหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร จากนั้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2491 หลวงปู่ฉลวยและหลวงปู่ก้าน หรือพระเนกขัมมมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดราชายตนบรรพต (เขาต้นเกด) อ.หัวหิน จึงได้ญัตติจากคณะมหานิกาย เป็นคณะธรรมยุติกนิกาย ณ วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ พนฺธุโล (จูม จันทรวงศ์) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจา ได้ฉายาว่า "สุธมฺโม" และ “ฐิตธมฺโม" ตามลำดับ ขณะนั้น หลวงปู่มีอายุ 42 ปี และเช้ามืดของวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2536 หลวงปู่ฉลวยได้ละสังขารสิริอายุ 87 ปี   พระสุชาติ ชาตสุโข เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านวไลย พระลูกศิษย์ผู้ติดตามหลวงปู่ฉลวยมานานเล่าว่า หลวงปู่ฉลวยเคยธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ที่บ้านวไลยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2503 ขณะนั้นยังเป็นป่าใหญ่มีสัตว์ชุกชุม ท่านมาแล้วจาริกไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ อีกหลายแห่ง กระทั่งปี พ.ศ. 2525 หลวงปู่กลับมาบ้านวไลยอีกครั้ง อาศัยจำพรรษาในสวนขนุนข้างห้วยกับพระสุชาติเพียง 2 รูป แต่เกิดฝนตกหนักน้ำท่วมใหญ่ นายแคล้ว และ นางแฉ่ง มีนาม สองสามีภรรยาจึงนิมนต์หลวงปู่ให้ขึ้นมาพำนักบนเขาในที่ดินของตน ชาวบ้านผู้ศรัทธาและลูกศิษย์ต่างช่วยกันสร้างกุฏิหญ้าคา 2 หลังให้พักอาศัย ต่อมานายแคล้วถวายที่ดิน 25 ไร่เพื่อให้สร้างเป็นวัด หลวงปู่ฉลวยปรารภเมื่อครั้งสร้างวัดว่า “ลำพังแต่หลวงปู่นั้นจะอยู่ที่ไหนก็ได้ หลวงปู่จะเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ไม่รับภาระ” เมื่อสร้างเป็นวัดหลวงปู่จึงมอบหมายให้พระสุชาติเป็นผู้ดูแลปกครองหมู่คณะและกล่าวไว้ว่า “ถ้าไปนิพพานไม่ได้ กลับมาใหม่จะได้มีวัดอยู่” แรกเริ่มวัดนี้มีชื่อว่า วัดป่าวิทยาลัย ด้วยคำสอนว่า วิทยาลัยทางโลกเรียนไม่รู้จบ ยิ่งเรียน ยิ่งทุกข์ วิทยาลัยทางธรรมเรียนถูกทางจบ หมดทุกข์ทั้งปวงได้ แต่ภายหลังราชการแจ้งให้เปลี่ยนชื่อเป็น “วไลย” จึงกลายเป็นชื่อ “วัดป่าบ้านวไลย” ที่เป็นศูนย์รวมศรัทธาของผู้เจริญในธรรมซึ่งเข้ามาบำเพ็ญกุศลเรื่อยมา ลูกศิษย์ลูกหาจึงช่วยบำรุงพัฒนาวัด สร้างเสนาสนะ กุฏิ หอฉัน วิหาร และ อุทเทสิกเจดีย์ ประดิษฐานพระพุทธปรินิพพานอันสื่อถึงเป้าหมายทางธรรมของหลวงปู่ฉลวยและพุทธศาสนิกชน เพื่อการหลุดพ้นกองทุกข์ และรูปหล่อหลวงปู่ฉลวยเท่าองค์จริง สร้างไว้เพื่อเป็นแหล่งเคารพบูชาแก่ผู้มาเยือนและระลึกถึงธรรมะอันสูงสุด.