ดนตรี / ทิวา สาระจูฑะ
ฟิล สเปคเตอร์ หนึ่งในโปรดิวเซอร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในดนตรีป๊อป/ร็อก และฆาตกรในคดีฆ่าผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกนำตัวออกจากเรือนจำเมื่อวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่งเข้าโรงพยาบาลซานฮวาคินในเฟนช์ แคมป์, แคลิฟอร์เนีย เนื่องจากพบว่าติดเชื้อโควิด-19 และต่อมา เขาเสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2021 ในวัย 81 ปี
สเปคเตอร์ ถูกตัดสินให้ติดคุกตั้งแต่ปี 2009 ข้อหาฆ่า ลาน่า คลาร์คสัน พนักงานต้อนรับของไนก์ทคลับแห่งหนึ่งที่เขาพากลับบ้านหลังจากการดื่มในค่ำคืนหนึ่งของปี 2003 ด้วยการยิงเข้าที่หัวของเธอ
ฟิล สเปคเตอร์ เกิดในย่านบรองซ์, นิวยอร์ค ในครอบครัวชนชั้นกลางค่อนข้างไปทางล่าง พ่อเป็นคนงานโรงงานเหล็กผู้ฆ่าตัวตายตั้งแต่เขาอายุเพียง 8 ขวบ แม่จึงพาเขาและน้องสาวโยกย้ายไปอยู่ลอส แอนเจลีส หลังจบมัธยมเขาเข้าเรียนชวเลขที่วิทยาลัย ลอส แอนเจลีส ซิตี้ และตั้งวง เดอะ เท็ดดี้ แบร์ส กับเพื่อนอีก 2 คนที่นั่น
สเปคเตอร์ มีเพลงอันดับ 1 เพลงแรกตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น หลังจากที่ เดอะ เท็ดดี้ แบร์ส บันทึกเสียงเพลง “To Know Him Is to Love Him” ปล่อยซิงเกิ้ลออกมาในเดือนสิงหาคม 1958 ขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น และติดอันดับ 1
เดอะ เท็ดดี้ แบร์ส ยุบวงในปีถัดมา สเปคเตอร์ หันมามุ่งมั่นกับการเป็นโปรดิวเซอร์ ระหว่างปี 1960-1965 อัลบั้มที่เขาดูแลการผลิตติดอันดับท็อป 40 มากถึง 24 ชุด และส่วนมากขึ้นชั้นคลาสสิก นั่นเป็นช่วงที่เขามีอายุ 20-27 ปีเท่านั้น!
มี 13 ซิงเกิ้ลที่ติดท็อป 10 รวมถึง “He’s a Rebel”, “Uptown”, “Then He Kissed Me” และ “Da Doo Ron Ron” โดย เดอะ คริสตัลส์ และ “Be My Baby” กับ “Walking in the Rain” โดย เดอะ โรเน็ทท์ส ซึ่งเป็นกลุ่มนักร้องหญิงทั้งคู่
เขายังโปรดิวซ์เพลง “Unchained Melody” และ “You’ve Lost That Lovin’ Feeling” ให้ เดอะ ไรชัส บราเธอร์ส ขึ้นอันดับ 1 ทั้งสองเพลง และกลายเป็นเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดทางวิทยุและโทรทัศน์ในศตวรรษที่ 20
สเป็คเตอร์ ทำให้สถานะของโปรดิวเซอร์แผ่นเสียงมีอำนาจและมีชื่อเสียงขึ้นมาเท่าเทียมกับศิลปิน และบางครั้ง กระทั่งใหญ่กว่าศิลปิน
“มีนักแต่งเพลง-โปรดิวเซอร์มาก่อนเขา แต่ไม่มีใครทำทุกอย่างเหมือนเขา” เจอร์รี่ ไลเบอร์ นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกับ สเปคเตอร์ ที่ แอ็ทแลนติค เรคอร์ดส์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้
สเปคเตอร์ สร้างสรรค์สิ่งที่ลือลั่นอย่างมากในนาม “กำแพงแห่งเสียง” ที่ห้องบันทึกเสียง โกลด์ สตาร์ ในลอส แอนเจลีส เขาใช้นักดนตรีและนักร้องแบ็คอัพหลายสิบชีวิต สเปคเตอร์ วางไลน์กีตาร์, เบสส์ และคีย์บอร์ด ทับซ้อนกันหลายชั้น บวกด้วยกลุ่มเครื่องสาย ทำให้เสียงดนตรีป๊อปใหญ่โตขึ้น เหมือนที่เขาบอกว่า “คล้ายโอเปร่าของ แว็กเนอร์”
ตั้งแต่นั้นดนตรีป๊อป/ร็อกก็ไม่เหมือนเดิม
กำแพงแห่งเสียงมีอิทธิพลอย่างมากในเวลาต่อมา ทั้งกับโปรดิวเซอร์และศิลปินมากมายในธุรกิจดนตรี ไบรอัน วิลสัน ผู้นำ เดอะ บีช บอยส์ บอกว่า สเปคเตอร์ เป็น “แรงบันดาลใจใหญ่ที่สุดในตลอดช่วงชีวิตของผม” สำหรับ จอห์น เลนนอน “โปรดิวเซอร์ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา”
ศิลปินชั้นนำมากมายผ่านการโปรดิวซ์ของ สเปคเตอร์ เช่น เดอะ โคสเตอร์ส, ลาเวิร์น เบเคอร์, เดอะ ดริฟเตอร์ส, ทินา เทอร์เนอร์, ลีโอนาร์ด โคเฮน ฯลฯ รวมถึง เดอะ บีเทิ่ลส์ ในอัลบั้มสุดท้าย – Let It Be ซึ่งหลังจากวงแยกทางกัน สเปคเตอร์ ยังได้รับความไว้วางใจจาก จอห์น เลนนอน และ จอร์จ แฮร์ริสัน ให้โปรดิวซ์อัลบั้มเดี่ยวของแต่ละคน
สเปคเตอร์ ได้รับการบันทึกชื่อเข้าหอเกียรติยศแห่งร็อค แอนด์ โรลล์ ในปี 1989
แต่ สเปคเตอร์ ก็มีด้านมืดที่อยู่ตรงข้ามกับอัจฉริยภาพของเขา ไม่เพียงดื่มหนักและชอบสะสมอาวุธปืน เขายังเป็นคนอารมณ์ร้ายและควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ เขาแต่งงานและมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคน และจบลงด้วยการเลิกราเสมอ จากการใช้ความรุนแรงของเขาต่อพวกเธอ ทั้งทุบตี, กักขัง และขู่ฆ่า
ในปี 2005 ในคำให้การต่อศาลบอกว่าเขาเป็นไบโพล่าร์ ดิสออร์เดอร์มา 8 ปี พร้อมคำบรรยายว่า “ไม่หลับ หดหู่ อารมณ์ปรวนแปร ยากที่จะอยู่ด้วย ยากที่จะรวมศูนย์ความคิด ผมถูกเรียกว่าอัจฉริยะ และผมไม่คิดว่าความเป็นอัจฉริยะจะอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา มันมีเส้นแบ่งของความบ้าอยู่”
หลายสัปดาห์ก่อนที่เขาจะยิง ลานา คลาร์คสัน เสียชีวิต สเปคเตอร์ ให้สัมภาษณ์ เดอะ เทเลกราฟ ของอังกฤษ ซึ่งปกติเขาทำไม่บ่อยนัก “ผมมีปีศาจอยู่ข้างในที่ต่อสู้กับผมอยู่”
หนึ่งในโปรดิวเซอร์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่และสร้างสรรค์ที่สุดของโลกจากไปแล้ว แต่คงยากที่จะให้คนพูดถึงแต่ผลงานอันเป็นอมตะ โดยไม่พาดพิงถึงด้านมืดของ ฟิล สเปคเตอร์ เลย


