เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โํพธิ์สุ  รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ทั้งนี้ที่ประชุมได้พิจารณากระทู้สดของ น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ถามนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ถึงการเยียวยาผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง ว่า กระทรวงแรงงานได้ดูแลนายจ้างและลูกจ้างอย่างไร  โดยบอร์ดการแพทย์สำนักงานประกันสังคมให้โรงพยาบาลเอกชนในเครือช่วยผู้ประกอบการ ตรวจคัดกรองในโรงงาน เพื่อลดการเคลื่อน้องแก่ย้ายแรงงานต่างด้าว ทำให้ตลาดการค้าต่างประเทศ ชื่นชมมาตรการดูแลของรัฐบาลไทย ทำให้ผู้รับสินค้าปลายทางมั่นใจว่าสินค้าปลอดภัย  โดยที่จ.สมุทรสาคร ตั้งเป้าตรวจให้ผู้ใช้แรงงาน 1 แสนคน จากจำนวนที่มี 2 แสนคน ทั้งนี้มีเงินให้นายจ้างกู้ยืมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อให้กู้ยืม โดยล่าสุดนั้น นายจ้างกู้เงินในส่วนดังกล่าวแล้ว  3,000 ล้านบาท เพื่อช่วยนายจ้างไม่ให้ลดคนงาน อีกทั้งยังลดส่งเงินสมทบเข้าระบบ รมว.แรงงาน ชี้แจงว่า การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเมื่อ 15-21 ม.ค.มีแรงงานต่างด้าวที่มีนายจ้าง จำนวน 1 แสนคน และแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีนายจ้าง จำนวน 7,000 คน  เป็นประเด็นที่วิเคราะห์ เบื้องต้นในส่วนของแรงงานหลักแสนคนนั้น เป็นแรงงานที่อยู่ในประเทศไทยก่อนโควิด-19 ระบาด และที่เข้ามาทีหลัง คาดว่าจะอยู่ที่หลักหมื่นคน อย่างไรก็ตามในประเด็นการรักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าวที่ไม่อยู่ในระบบ ตนมองว่าไม่ถูกต้องที่จะนำภาษีของประชาชนจ่ายให้ ดังนั้นจึงต้องทำประกันสุขภาพ ราคา 3,200 บาท และหากแรงงานเข้าสู่ระบบประกันสังคม ครบ 3 เดือน จะสามารถขอคืนเงินทำประกันสุขภาพได้ ขณะที่ค่าตรวจโรคนั้น ตามที่ได้เอ็มโอยู จะมีค่าใช้จ่ายที่ 2,300 บาท น.ส.อนุสรี  กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานที่ต้องการให้นำเงินบำนาญชราภาพออกมาช่วยเหลือก่อนเป็นไปได้หรือไม่ นายสุชาติ กล่าว่า ตนได้ตั้งอนุกรรมการเพื่อพิจารณานำเงินชราภาพ ออกมาใช้ 30% แต่ติดปัญหาเรื่องกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ซึ่งพยายามแก้ไขให้โดยเร็วที่สุด หากสามารถแก้ไขได้ จะนำมาแก้ไข 3 เรื่อง ให้กองทุนชราภาพ สามารถค้ำประกันการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ใช้ระบบบำเหน็จ บำนาญ ซึ่งต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์จากประชาชน ซึ่งวิธีดังกล่าว ต้องใช้เวลา ซึ่งอาจเข้าสู่ครม. ประมาณเดือนก.ย.นอกจากนั้นได้หารือกับสมาชิกวุฒิสภานอกรอบเพื่อพิจารณาถึงเรื่องดังกล่าว และได้มีการตีความและนำเสนอให้กฤษฎีกาตีความ เพื่อนำเงินส่วนดังกล่าวช่วยเหลือประชาชน