การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด-19” ระลอก 2 ในช่วงปลายปี 63 ได้กลับมาสร้างความหนักใจให้คนทั้งประเทศอีกครั้ง ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะตกต่ำ และนับว่า “เลวร้าย” กว่าช่วงวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540เสียอีก ล่าสุด “บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด” (Siam Bioscience) ชื่อที่คนไทยเริ่มคุ้นหูมากขึ้นเรื่อยๆ หลังขึ้นแท่นกลายเป็นบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19หนึ่งเดียวของไทยและในอาเซียน ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก “บริษัทแอสตราเซนเนก้า” และ “มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด” ที่มีการจองและผลิตวัคซีนโควิด-19ถึง 26 ล้านโดส และน่าจะเริ่มใช้ได้ภายใน พ.ค.63 นี้ “บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด” ถือเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 ไม่ใช่บริษัทที่เพิ่งตั้ง แต่มีผลงานเป็นที่น่าเชื่อถือ และยอมรับ และในปัจจุบัน ได้ทำการวิจัยยาชีววัตถุสำเร็จแล้ว 6 รายการ ได้รับการรับรอง 2 รายการ คือ ยาเพิ่มเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล(filgrastim) และยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง (erythropoieth- alfa) โดยมีสายการผลิตอยู่ที่ 1 ล้านโดสต่อปี จึงถือเป็นบริษัทที่จะทำหน้าที่ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทยแห่งแรก ขณะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่า “แม้วันนี้เราจะยังเลือกวัคซีนไม่ได้มาก แต่ต่อไปเมื่อมีการแข่งขันพัฒนาการผลิต วัคซีนก็จะมีคุณภาพมากขึ้น ราคาถูกลง ซึ่งวัคซีนเหล่านี้ ต้องฉีดหลายครั้ง ตราบใดที่ยังมีการระบาด เหมือนไข้หวัดใหญ่ ที่ต้องมีการฉีดวัคซีนอย่างสม่ำเสมอ” อย่างไรก็ตาม ร้องยอมรับว่า “การผลิตวัคซีนโควิด-19” โดยผลงานของ “บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์” และหน่วยงานของไทยอื่นๆ นับเป็น “คุณูปการ” อันใหญ่หลวงต่อประเทศไทย เพื่อป้องกันรักษา ช่วยชีวิตคนไทยจาก "ไวรัสโควิด-19” และสร้างชื่อเสียงของประเทศไทยให้ก้าวไปสู่หนึ่งในผู้นำทางเภสัชกรรมและการแพทย์ระดับโลกในอนาคตอย่างแน่นอน