เพจ "Peace News" โพสต์ข้อความ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระบุว่า ข้าวกล่องไทยช่วยกัน 8 วันแล้ว! ปชช.เดือดร้อนยังทยอยรับแจกเนื่องแน่น “พีซทีวีและหมู่มิตร”มอบสุขเล็กๆ ช่วยให้อิ่มท้องวันละมื้อเที่ยง “จตุพร” แขวะเงิน 300 ล้านทำหนังรักชาติ เหน็บฉีดวัคซีนคนโง่ให้คนคิด ซัดในยามยากคนทุกข์หาอาหารประทังหิว ยังเสนอไม่เข้าท่าอีก แนะนำเงินตั้งโรงครัวทั่ว ปท. ยังดีกว่า เชื่อเกิดเปลี่ยนแปลงในอนาคตแน่ ย้ำคิดต่างทุกฝ่ายผนึกแรงเปลี่ยนรัฐบาล เมื่อ 16 ม.ค. 2564 ประชาชนผู้เดือดร้อนจากผลกระทบโควิดระบาดยังทยอยมารับอาหารกล่องจากโครงการไทยช่วยกันอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ที่บริเวณรามอินทราซอย 40 แยก 33/ ลานหน้าสถานีพีซทีวี โดยพีซทีวีและหมู่มิตรรวมจิตใจ ร่วมแรงทำอาหารให้กับสังคม มีรายงานว่า ตั้งแต่เช้าตรู่ พนักงานพีซทีวีและประชาชนอาสาสมัครเข้าโรงครัวหุงข้าว ตั้งกระทะปรุงอาหารสดสุกใหม่ บรรจุกล่องไว้เตรียมแจกเป็นอาหารมื้อเที่ยง โดยเมนูในวันนี้เป็นกะเพราหมู ข้าวผัด ไข่ต้ม พร้อมน้ำดื่ม และเริ่มแจกเมื่อเวลา 11.30 น. ไม่เกิน 30 นาทีข้าวกล่องพร้อมความสุขเล็กๆที่มอบให้สังคมก็หมดลง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มาเยี่ยมให้กำลังใจพ่อครัวแม่ครัวตามปกติ พร้อมกล่าวว่า ตั้งใจทำโครงการไทยช่วยกัน 2 รอบๆละ 14 วัน โดยรอบแรกครบ 22 ม.ค.นี้ และพักยกเอาแรง จากนั้นเริ่มรอบ 2 วันที่ 1 ก.พ. ไปจบลงวันที่ 14 ก.พ. ตลอดจน ขอชวนประชาชนทำอาหารแจกในทุกจังหวัด เนื่องจากขณะนี้ประชาชนมีความยากลำบากสูง "หากประชาชนหรือหมู่มิตรต้องการร่วมสมทบทุนให้โครงการไทยช่วยกันแล้ว คงต้องมาบริจาคที่เต็นท์ตั้งโครงการหน้าสถานีพีซทีวี เพราะเราไม่ต้องการเปิดบัญชีให้เป็นที่ครหาของพวกเกรียนคีย์บอร์ดจ้องจับผิดหาเหตุวิจารณ์ให้เกิดความเสียหายกันอีก" นอกจากนี้ ย้ำว่า วันที่ 18 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันแรกที่ญาติวีรชนพฤษภา 35 สมาคมนักข่าว และอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ จะทำอาหารแจกเช่นกัน โดยตั้งเต็นท์ที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร จึงบอกกล่าวให้ประชาชนที่เดือดร้อนร่วมรับอาหารฟรีกันได้ "ผมเชื่อว่า ความยากลำบากของประชาชนจะมีอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้รัฐบาลได้เยียวยาในเดือน ก.พ.กับ มี.ค.ก็ตาม นั่นแสดงว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลาย แต่ประชาชนกลับไม่สบายใจ โดยเฉพาะจะนำเงินกองทุนสื่อสร้างสรรค์ฯ 300 ล้านไปสร้างหนัง แทนที่มาตั้งโรงครัวทำอาหารช่วยคนเดือดร้อนจะเกิดประโยชน์มากกว่า" นายจตุพร เชื่อว่า ขณะนี้รัฐบาลไม่เข้าใจประชาชนที่มีเส้นแบ่งบางๆทางอารมณ์อันอ่อนไหวมาก ซึ่งสักวันหนึ่งคนไทยคงรับไม่ไหวและอดทนไม่ได้ ประกอบสถานการณ์โควิดของไทยมีการเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนยังเลื่อนจาก ก.พ.ไป มิ.ย.แล้ว อีกอย่าง ถัดจากนี้ไปถึง มิ.ย. เวลาร่วม 5 เดือนสถานการณ์โควิดของไทยส่อน่ากลัวขึ้นคือ การกลายพันธุ์ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่ายและเร็วขึ้น อีกทั้งการสร้างกระแสฉีดวัคซีน แต่ที่ผลิตจากจีนที่นำมาฉีดประชาชนครั้งแรกและเข็มแรกนั้น ยังไม่เสถียร มีรายงานว่าจะต้องตั้งหลักวิจัยใหม่กันอีก ดังนั้น รัฐบาลควรระมัดระวังการใช้งบประมาณ และไม่ควรดื้อดึงเงิน 300 ล้านบาทมาทำหนัง เพราะไม่จำเป็นในช่วงวิกฤตเช่นนี้ "อย่าอ้างว่า ถ้าไม่ใช้งบแล้วต้องส่งคืน จึงเป็นความบกพร่องทางความคิด ควรฉีดวัคซีนป้องกันความโง่ ความไม่เข้าท่ามากกว่าให้คนเสนอใช้งบ 300 ล้านบาทสร้างหนัง เพราะแสดงว่า กฎกติการต่างๆไม่เอื้อต่อการบริหาร และระดับเนติบริกรยังหาช่องทางนำเงินก้อนนี้ไปใช้ไม่สอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน" นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องพูดความจริงกับประชาชนว่ามีเงินจริงหรือไม่ เพราะการเยียวยาที่ลดทั้งเงินและจำนวนเดือน สะท้อนว่า ไม่มีเงิน ดังนั้น ในช่วง 1-2 เดือนนี้ประชาชนจะอยู่ในจุดเปราะบางมาก ประกอบกับเมื่อถึงการสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาล ก็ต้องยกเลิกห้ามการชุมนุม ซึ่งตนเชื่อว่า ถึงเวลาที่คนไทยจะไม่ทนกับปัญหาใหญ่ที่พุ่งเป้าถึงรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีเสียเองว่า บริหารต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องหยุดทำหน้าที่ได้แล้ว เสียงเรียกร้องให้พิจารณาตัวเองจะดังขึ้น รวมทั้ง ขณะนี้แม้คนที่มีความเชื่อทางการเมืองที่ผ่านมาแตกต่างกัน แต่กลับมีความต้องการเหมือนกันคือ อยากเปลี่ยนรัฐบาล อีกอย่างนักการเมืองก็ไม่สร้างความหวังให้กับประชาชน จึงทำให้สภาพของรัฐบาลดูเหมือนยังดูดีอยู่ ดังนั้น ประชาชนจึงไม่มีความหวังอื่นเหลืออยู่แล้ว จึงอยู่ท่ามกลางความอึดอัดและเป็นความทุกข์ที่ใหญ่ “การเปลี่ยนแปลงในอนาคตจะเกิดขึ้นแน่นอน และจะเกิดการสามัคคีทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมีความแตกต่างทางทัศนะคติทางการเมืองกันเช่นไร จะมาร่วมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบสันติวิธีขึ้น"
ขอบคุณข้อมูลและภาพ เพจ Peace News