ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ในอ้อมกอดของชีวิต ชีวิตย่อมมีภาพวาดแห่งความงามของความประทับใจเร้นซ่อนอยู่...เป็นความหมายของความรู้สึกรักที่แฝงฝังและสัมผัสได้ด้วยอารมณ์อันกรุ่นกลิ่นไปด้วยข้อตระหนักของเสน่หา..มันคือพลังของจิตวิญญาณที่ทาบทับอยู่บนจริตอันร้อนรนของกาลเวลา..ตราบเมื่อเกิดข้อตระหนักขึ้นในหัวใจ...ชีวิตจึงมีโอกาสได้ค้นพบกับความจริงแท้ที่ไม่หยุดนิ่งด้วยเงื่อนไขแห่งบริบทของอารมณ์ความรู้สึกที่ผลุดออกมากางกั้นชีวิตให้ต้องสูญเปล่าไปอย่างไร้ค่า..”
ความหมายอันส่งผลต่อการเกาะกินใจนี้..สะพรั่งบานออกมาจากหนังสือที่ทอประกายความอิ่มเอมสู่การรับรู้อันบริสุทธิ์...ที่ตั้งอยู่เหนือภาวการณ์แห่งการเคลื่อนขยายตัวตนใดๆ..อย่างมีความหวัง..
“แม้รู้ตัวดีว่า
อยู่บนโลกนี้ไม่นาน
พวกมันยังเลือกจะมี
ชีวิตแสนสว่างไสว”
ข้อเขียนอันบรรจงเขียนถึง “ทานตะวัน” บทนี้คือแรงขับเคลื่อนทางกวีทัศน์ที่ก่อแรงกระทบใจ...เป็นปรากฏการณ์แห่งความผูกพันของสำนึกรู้อันชวนหยั่งคิดในหนังสือที่โปรยปรายไปด้วยแง่คิดทางปัญญาและบริบทแห่งรักเอาไว้อย่างแยบยล... “ในมือเธอมีดอกทานตะวัน” (The Sun and her Flowers)...งานเขียนอันละเมียดละไมของ “รูปี กอร์” (Rupi kuar) นักเขียนหญิงชาวแคนาดาเชื้อสายอินเดีย..ผู้เคยเขียน “ปานหยาดน้ำผี้ง” (Milk and Honey)อันโด่งดัง../ความเรียงในเชิงบทกวีเล่มที่สองของเธอนี้อบอวลไปด้วยความจับใจในสาระถ้อยคำ...และปรัชญาความคิดจากสายตาที่ทอดยาวเพื่อตีความสังคมอย่างสงบงามและจริงแท้...
หนังสือเล่มนี้แบ่งประเด็นออกเป็นห้าส่วนตามโครงสร้างที่ก่อเป็นเบ้าหลอมของชีวิตที่มีทั้งสุขและทุกข์ระคนกัน โดยแต่ละบทนั้นจะมีถ้อยคำที่ผิดแปลกแตกต่างกันออกไป...แต่จะครอบคลุมเจตจำนงไปถึงความรักเป็นส่วนใหญ่..นุ่มนวลและแฝงไว้ด้วยทรรศนะเชิงเฟมินิสต์อันน่าติดตามค้นหา รวมถึงการฉาบแต้มด้วยบทบรรยายภาพแสดงในนัยของอีโรติกอย่างผะแผ่วและท่วมท้นไปด้วยภวังค์อารมณ์
“สิ่งใดเล่าจะแข็งแกร่ง กว่าหัวใจคนเรานี้ที่แหลกสลาย ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ยังไม่ตาย” ความนัยแห่งกวีนิพนธ์บทนี้...มิใช้ความผิวเผินแห่งถ้อยคำ แต่เป็นสำนึกแห่งรับรู้ในรู้สึกที่ต้องเผชิญกับความจริงอันเจ็บร้าวจากความรัก..ที่เศร้าตรมในภาวะแห่งการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นสื่อแสดงสำคัญที่สรรค์สร้างหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาสู่ความมีชีวิตชีวาที่น่าจดจำ แก่นหลักของหนังสือเล่มนี้..มุ่งเน้นไปที่การเติบโตทั้งกายร่างและจิตใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ในฐานะของความเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่เพียรพยายามจะเข้าใจโลกมากขึ้น..ผ่านห้วงยามแห่งการโอบประคองชีวิตด้วยความรักที่ค่อยๆประจักษ์แจ้งต่อการเข้าใจและรู้สึกต่อการถนอมชีวิตอย่างอ่อนโยนและแยบยล...แท้จริงชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สมควรไหม?..หรืออย่างไร?...ที่จะให้ความรักเป็นไปอย่างเสรี..โดยความเข้าใจว่าความรักมีความอิสรเสรีเป็นหัวใจ...ที่อาจเป็นได้ทั้งความปรารถนาที่ลึกซึ้งต่อกัน...กระทั่งแม้แต่ความโกรธขึ้งและเกลียดชังอย่างถึงที่สุดต่อกันด้วย
“คนรามีพร้อมพรั่ง แต่ยังอยากได้ไม่เลิกรา จงหยุดไขว่คว้าสิ่งที่ขาดไป แล้วมองสิ่งที่มีอยู่ให้ดี...ความพอใจอยู่ตรงนี้”..
ความประจักษ์แจ้งในตัวตนที่แท้..เป็นแก่นสารแห่งความเข้าใจหนึ่งที่ส่งผลต่อชีวิตอย่างสั่นสะเทือน...ความเข้าใจต่อสัจจะใส่วนนี้จะส่งผลให้ชีวิตงาม..อย่างแม่นตรงและเปี่ยมเต็มไปด้วยความหมายโดยรวมของสัมพันธภาพมันคือความเชื่อมโยงอันมีค่าอเนกอนันต์แท้จริง.
จากความ รวดร้าว หลงรัก เลิกรา และ เยียวยา...ในหนังสือเล่มแรกที่สร้างชื่อให้กับเธอ “ปานหยาดน้ำผึ้ง” รูปี กอร์...ได้พัฒนาเชิงชั้นและสำนึกของเธอผ่านหนังสือเล่มนี้จนเรียกได้ว่า..มันได้กลายเป็นแบบอย่างแห่งกระบอกเสียงของคนยุคใหม่...ผ่านวิถีแห่งตัวตนที่เติบโตขึ้น และพร้อมที่จะพาทุกคนให้ก้าวไปเบื้องหน้า และพร้อมที่จะเติบใหญ่ไปด้วยกัน...ผ่านวัฏจักรของดอกไม้แห่งธรรมชาติบนวิถีแห่งการแห้งเหี่ยว ร่วงโรย หยั่งราก งอกเงย และ ผลิดอกบาน... “นานเหลือเกินที่ฉันเคว้งคว้าง ในที่ที่ไร้แสงตะวัน ไม่มีดอกไม้บาน แต่วันดีคืนดี ท่ามกลางความมืดมิด กับปรากฏสิ่งที่ฉันรัก ช่วยผลักดันให้กลับมาแจ่มใส ด้วยการได้เห็นท้องฟ้าพร่างพราว”
ความจริงตรงส่วนนี้ให้อารมณ์เศร้า…แต่มันก็บ่งบอกถึงหัวใจที่สัมผัสรู้อันลึกล้ำ…มันบ่งบอกถึงเสียงเพลงแห่งความรักที่บรรเลงอยู่เหนือกาลเวลาและการค้นพบอันลึกล้ำ...การค้นพบอารมณ์หลักอันแท้จริงของชีวิตคือ ญาณทัศน์อันอ่อนโยนของความเป็นชีวิตที่ธำรงอยุ่ด้วยความวาดหวังสมบูรณ์ที่ล้ำค่ายิ่ง...ตลอดไป..
“เป็นธรรมดาในชีวิตของคนเรา..เมื่อฉันร้องไห้ในอ้อมกอดของแม่..ลองนึกถึงดอกไม้ที่ปลูกไว้ในแต่ละปี มันมีคติสอนใจว่าคนเรานั้นไซร้ต้อง แห้งเหี่ยว ร่วงโรย หยั่งราก..งอกเงย แล้วจึง ผลิบาน”
ปฐมบทแห่งสาระความคิดของหนังสือเล่มนี้ ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงความเกี่ยวเนื่องที่สอดคล้องและสมดุลกันในรากเหง้าแห่งความเป็นธรรมชาติ ที่ยากจะแปรเปลี่ยน หรือ แปรผันเป็นอื่นได้...
เราย่อมต้องมีชีวิตที่ต้องผลิบาน ความงามของหัวใจจักเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยเหตุอันเป็นรากฐานเช่นนี้....
“เมื่อเริ่มรักใครคนใหม่
เรานึกขันว่าความรักช่างไม่แน่นอน
นึกย้อนถึงคนก่อน
ตอนนั้นเราก็มั่นใจว่า คือคนที่ใช่
แต่แล้วในตอนนี้
กลับต้องนิยาม คนที่ใช่ใหม่หมด”
ภาพสะท้อนปรารถนาแห่งชีวิตอันน่าใคร่ครวญของความไม่แน่นอนในนามของความรัก..เจ็บปวดและขมขื่นกับสภาวะที่เคลื่อนขยายกันไปในความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจเลี่ยงพ้น เป็นอุทาหรณ์ของความทรงจำที่ทายท้าต่อการแสวงหา...ความยั่งยืนอันมั่นคงและเป็นสัจจะ...เสมอ
“ใจฉันมันด้านชา เพราะการสูญเสียครั้งล่าสุด...มันพรากความเป็นมนุษย์จากฉันไป ฉันไม่อาจแบกรับกรรมที่คุณกระทำไว้...กรรมที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่อ..”
ห้วงคำนึงในเชิงบาดแผลทางความคิดเช่นนี้..เป็นประกายทางความรู้สึกที่ส่องแสงทางความคิดออกมาเป็นระยะๆ...มันช่างง่าย รวบรัด และพุ่งตรงความคิดคำนึงสู่ใจของผู้สัมผัสหนังสือเล่มนี้...ที่เสมืนว่ายิ่งทิ่มแทงยิ่งอ่อนโยน เป็นการออกแบบความคิดสู่การสร้างสรรค์ตัวตนของวรรณกรรมแห่งมายาจริตของมนุษย์โดยแท้..มันคือความหน่วงหนักทางอารมณ์แห่งการสัมผัสรู้ที่แสนจะสั่นไหวและกระทบใจอย่างดิ่งลึก ...ผ่านการใคร่ครวญอันถ่องแท้เราถึงจะเห็น..ผ่านการปะทะอารมณ์อย่างล้ำลึกเราถึงจะรู้สึก..
“อย่านึกจะไปก็ไป จะมาก็มา เหมือนบานประตูหมุนวน...ตัวฉันคนนี้มีเรื่องมหัศจรรย์มากมาย...เกินกว่าจะเป็นของตาย”
ความคิดในการประกาศตัวตนบทนี้ของผู้เขียนดั่งเป็นข้อสรุปแห่งการสื่อแสดงมโนทัศน์ของเธออกมาอย่างเจิดกระจ่าง...เธอเป็นคนที่มองโลกโดยรอบด้วยสายตาแห่งจิตใจที่จริงจังจับจ้อง..เข้มแข็งและไม่ยอมแพ้...ความรักอันแนบเนาของเธอแผ่วเบาดั่งขนนกของกาลเวลา...แนบเนาด้วยโครงสร้างแห่งปรารถนาอันผุดพรายมาจากตัวตนของความรัก(SELF-LOVE)...และตรรกอันบริสุทธิ์ที่สะท้อนพลังความคิดแห่งการได้รักและการได้หลงรักใครสักคนออกมา...รุนแรงสั่นสะเทือน แต่ก็เป็นดั่งฝันอันตื่นตระการของคืนวันอันแท้จริง
นี่คือ...หนังสือแห่งใจที่น่าอ่านรับขวัญปีใหม่...หนังสือแห่งใจที่หยั่งรากไปถึงหัวใจแห่งแก่นแท้อันล้ำลึก และสัมผัสรู้แห่งจิตวิญญาณอันนบน้อม..นิรันดร์
ถ้าเรายังโอบกอดตัวเองไม่เป็น...ก็อย่าหวังเลยว่าจะโอบกอดหัวใจของคนอื่นได้....เค้าเงื่อนทางความคิดแห่งหนังสือเล่มนี้ค่อยๆบอกกล่าวต่อเราเช่นนั้น แตกต่าง แปลกแยก แต่ก็มีผัสสะหยั่งรู้แห่งเอกภาพของชีวิต บรรเลงรมย์....อยู่อย่างนั้น..
“เมื่อ...พระจันทร์ฉายแสงเหนือแผ่นดินของฉัน
แต่...ดวงตะวันของคุณกลับเจิดจ้า
ฉันต้องรวดร้าว...ที่ฟ้าของเราก็ยังแตกต่าง”