ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
ในบันทึกความจำของประธานาธิบดีท่านที่ 44 ของสหรัฐฯ คือบารัก โอบามา บอกอะไรมากเกี่ยวกับตัวท่าน และความคิดทั่วไปของอเมริกันชน โดยเฉพาะตำแหน่งแห่งที่ของสหรัฐอเมริกาในโลก
แต่ก็ใช่ว่าเราชาวโลกทั้งหลายจะไม่รู้เกี่ยวกับทัศนคตินี้ของชาวอเมริกันมาก่อนเลย แต่มันเป็นการสอนใจตนเองให้จดจำว่าโดยแท้จริงแล้วคนอเมริกันส่วนใหญ่เขาคิดกันอย่างไร จะได้ไม่ลืมเวลาติดต่อสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา เพราะเขาเชื่อว่าเขาเป็น “ผู้นำของโลก”
อย่างไรก็ตามก็มิได้หมายความว่าเราจะต้องไปจงเกลียดจงชังชาวมะกัน เพราะยังมีจำนวนไม่น้อยที่มีนิสัยน่ารัก เป็นมิตรและหวังดีต่อเพื่อนร่วมโลก โดยจะเห็นได้จากการเข้าไปมีส่วนในการปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรมที่อเมริกันชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมพร้อมกับเงินช่วยเหลือต่างๆผ่านมูลนิธิหรือภาครัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่าในหลายกรณีจะไม่มีเจตนาแอบแฝง
แต่สิ่งที่เราจะนำเสนอในบทความนี้เป็นมุมมองที่สะท้อนถึงการประกาศที่แสดงถึงความเป็นใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงขอบเขตของกฎหมาย แต่เป็นการที่จะใช้อำนาจให้ประเทศต่างๆยอมรับ ข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของสหรัฐฯแต่เพียงฝ่ายเดียวซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามก็จะใช้อำนาจกดดันทั้งทางทหาร ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทั้งการกดดันระหว่างประเทศหรือการแทรกแซงภายใน ซึ่งสหรัฐฯดำเนินการมาตลอด
และนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่สหรัฐฯได้ดำเนินการนั่นคือ การที่วุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายชื่อ “Rochenkov” ซึ่งเป็นชื่อเจ้าหน้าที่ของรัสเซีย ซึ่งหนีการถูกดำเนินคดีจากทางการรัสเซีย และลี้ภัยไปอยู่สหรัฐฯในข้อกล่าวหาว่ามีการจำหน่ายขาย และใช้ยากระตุ้นให้กับนักกีฬารัสเซีย
โดยที่มีการสร้างภาพว่าเขาเป็นผู้ที่ต่อสู้กับระบบการใช้ยากระตุ้นให้นักกีฬาของรัสเซีย ซึ่งจริงหรือไม่มันควรจะปล่อยให้มีการต่อสู้และพิสูจน์กันในชั้นศาลก่อน
อนึ่งเรื่องแบบนี้ก็อาจจะอ้างได้ว่าเป็นความกริ่งเกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรมจากขบวนการทางศาลของรัสเซีย แต่เขาก็เป็นประเทศที่มีอธิปไตย และมีอำนาจทางศาลที่เป็นหลักยึดของประเทศอยู่
ประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจว่ามันแตกต่างจากกรณีที่นายสโนเดน ลี้ภัยการเมืองไปอยู่รัสเซีย เพราะได้เปิดเผยความจริงว่าหน่วยงานลับ CIA ได้ทำการลักลอบดักฟังการสนทนาของบุคคลสำคัญๆในโลกเป็นจำนวนมาก อันเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
แต่ผลที่เกิดขึ้นคือนายสโนเดนต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไม่มีที่อาศัยในโลก ด้วยข้อหาขายชาติ สุดท้ายจึงต้องไปอาศัยอยู่ในรัสเซีย ก็ยังไม่วายถูกกดดันต่างๆจากสหรัฐฯ เช่น ห้ามไม่ให้รับเงินค่าลิขสิทธิ์ค่าหนังสือที่เขาเขียนเกี่ยวกับการสมคบคิดก่ออาชญากรรมข้ามชาติของ CIA
ในกรณีของนายโรเชนคอฟ (Rochenkov) นั้นวุฒิสภาได้ออกกฎหมายโดยอ้างว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกีฬาโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับการเมือง เพราะมันจะเป็นการปกป้องนักกีฬาจากการใช้ยาโด๊ป ทั้งนี้สภาได้แถลงว่ากฎหมายนี้ต้องการลงโทษกิจกรรมใดๆที่เป็นการฉ้อฉลและปล้นสะดมนักกีฬา ประชาชน และธุรกิจรวม ทั้งปกป้องผู้ให้ข้อมูลจากการถูกจัดการจากอาชญากร นอกจากนี้ยังเป็นการให้โอกาสปรับปรุงตัวหรือแก้ไขของนักกีฬาที่อาจตกอยู่ในอุบายและการล่อลวงของขบวนการยากระตุ้น
หมายเหตุถ้าเราคิดว่าทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติโดยเท่าเทียมกันตามกฎหมายในกรณีนี้เราคิดผิด
ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวระบุว่าการดำเนินคดีกล่าวโทษกับใครก็ได้ (ที่ไม่ใช่นักกีฬา) ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับขบวนการยากระตุ้น ที่เกิดขึ้นกับการแข่งขันกีฬาที่มีอเมริกันเข้าร่วมด้วยในทุกพื้นที่ในโลก
ยิ่งไปกว่านั้นคำว่าการมีส่วนร่วมของอเมริกันอาจจะแตกต่างจากความเข้าใจทั่วไป นั่นคือรวมถึงการเป็นสปอนเซอร์ไม่ใช่เฉพาะนักกีฬาที่เข้าไปแข่งขัน
หนักขึ้นไปอีกการมีส่วนเกี่ยวข้องกับยากระตุ้นยังไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน ซึ่งขึ้นกับการตีความของหน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ
ดังนั้นหากเราจะสมมติเหตุการณ์ว่ามีการแข่งขันระดับนานาชาติเกิดขึ้น และมีโค้ชผู้หนึ่งจากประเทศก. ที่แพ้การแข่งขัน ออกมาประกาศว่าโค้ชจากประเทศ ข. ใช้ยากระตุ้นสมุนไพรที่ปลูกในประเทศเขาให้นักกีฬาของตน ทำให้ได้เปรียบจนได้ชัยชนะ โค้ชจากประเทศข.ก็จะถูกไล่ล่าจากสหรัฐฯไปทุกแห่งทั่วโลกตามกฎหมายนี้ โดยหน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ ตามกฎหมายดังกล่าวจนถูกจับติดคุกในสหรัฐฯรอการพิจารณาคดี ซึ่งจะต้องใช้เวลาพิจารณาคดีอีกหลายปี
นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯได้ออกกฎหมายที่ละเมิดขอบเขตอำนาจของตนไปครอบคลุมประเทศต่างๆทั่วโลก โดยไม่เคยถามว่าประเทศเหล่านั้นยอมรับหรือไม่ ที่จะให้คนของเขาถูกจับไปดำเนินคดีในข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นในที่ใดๆของโลกที่ไม่ใช่สหรัฐฯ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพลเมืองหรือนักกีฬาของสหรัฐฯ
นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดยังมีข้อกำหนดเป็นพิเศษให้กับการกีฬาของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นลีกของนักเรียน นักศึกษา หรือลีกอาชีพ นั่นคือกรณีที่ผู้ทำกายภาพบำบัด สามารถจะใช้สมุนไพรจากประเทศ ข.ดังที่กล่าวมาแล้วให้นักกีฬาได้เสพหรือทาเพื่อการรักษาเยียวยา อันไม่เป็นความผิดตามกฎหมายของสหรัฐฯ นั่นกระทำได้ในประเทศ แต่ถ้าไปกระทำนอกประเทศจะถือเป็นความผิดตามกฎหมาย “โรเชนคอฟ” ที่เป็นกฎหมายใหม่ของสหรัฐฯ
อย่างนี้ถือว่ามันเป็นการใช้กฎหมายสองมาตรฐานของสหรัฐฯหรือไม่ หรือสหรัฐฯถือว่าความเป็นเจ้าโลกทำให้สามารถใช้อำนาจเป็นหลักในการสร้างความเป็นธรรม “The Might is Right”
คงไม่ต้องบอกว่าลีกกีฬาทั้งหลายของสหรัฐฯไม่ได้เป็นสมาชิกของ World Anti-Doping Agency (WADA) (องค์การต่อต้านการใช้ยากระตุ้นโลก) ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎระเบียบของโลก แต่ในทางกลับกันชาวโลกต้องยอมรับกฎหมายของสหรัฐฯในทุกพื้นที่ของโลก
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯได้ทำการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยจงใจ แต่ยังมีอีกหลายกรณีที่เกิดกับศาลอาชญากรระหว่างประเทศที่กรุงเฮก ที่แม้สหรัฐฯมิได้เป็นสมาชิก แต่สหรัฐฯยังกีดกันขัดขวางการดำเนินการของศาลหลายครั้ง เช่น การห้ามไม่ให้อัยการในคดีอาชญากรสงคราม ทหารอเมริกันในอาฟกานิสถาน เดินทางมาที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติเพื่อดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
นี่กระมังจึงเป็นข้อยืนยันว่า “ถ้าไม่มีความยุติธรรม ก็จะไม่มีความสันติสุข” “No Justist,No Peace”