ภายหลังจากพบพฤติกรรมต้องสงสัยของโรงแรมและร้านอาหารบางส่วนเข้าข่ายกระทำผิดเงื่อนไขในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดรับสิทธิจองห้องพักใหม่ อีกทั้งยังไม่รวมถึง โครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า ที่กันงบประมาณ 5 พันล้าน จากงบประมาณ 2 หมื่นล้านในโครงการเราเที่ยวกัน ที่ติดกรอบการดำเนินงานในโครงการดังกล่าว จนทำให้ 2 โครงการข้างต้นเกิดการล่าช้า เสมือนเป็นบททดสอบการดำเนินงานของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ต่อไป ในเรื่องนี้ทาง นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวว่า ทางกระทรวงฯ ได้ผลักดันทั้ง 2 โครงการ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ซึ่งได้บทสรุปเบื้องต้นมีการเปิดให้ผู้ได้รับสิทธิโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน จองสิทธิห้องพัก 1 ล้านสิทธิใหม่ในวันที่ 28 ธันวาคม 2563 หลังต้องเลื่อนจากกำหนดเดิมวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ทางกระทรวงฯ มีการเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า โดยใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงวัย อายุ 55-75 ปี จำนวน 1 ล้านคน มีเงื่อนไขการให้สิทธิ คือ ต้องมีการเดินทาง 2 คนขึ้นไปในวันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสบดี และใช้บริการผ่านบริษัทนำเที่ยว ในระยะเดินทาง 3 วัน 2 คืนขึ้นไป สนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการดำเนินโครงการสามารถส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและภาคเอกชน รวมถึงการลงทุนต่าง ๆ ของภาคเอกชน เพื่อให้สภาวะการบริโภคและการลงทุนกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด ขณะที่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า หลังจากเห็นสถานการณ์ของโควิด-19 ที่จะยังอยู่ไปอีกสักพักใหญ่ และการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นเรื่องที่คาดหวังลำบากในการดึงรายได้ต่างชาติเข้าประเทศ ดังนั้นทาง ททท. จึงต้องออกผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อเพิ่มเม็ดเงิน หมุนเวียนในระบบ สำหรับโครงการเส้นทางคนโสด Single Journey #อย่าล้อเล่นกับความเหงา เป็นแคมเปญที่ออกมาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ โดยร่วมมือกับพันธมิตรจัดกิจกรรมผ่านแอพพลิเคชั่น "หาเพื่อนทินเดอร์" และเฟซบุ๊กแฟนเพจ Sneakout โดยตั้งเป้าสร้างการรับรู้โครงการนี้ประมาณ 70 ล้านครั้ง ก่อให้เกิดการเดินทาง 7 ล้านคน/ครั้งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ซึ่งในเบื้องต้น เส้นทางคนโสด Single Journey นี้คาดว่าจะมี 3 ทริป คือ 1. ทริปเรือครุยส์ล่องลำน้ำเจ้าพระยา 2. ทริปเที่ยวโดยรถไฟไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และ 3. ทริปเที่ยวเกาะ (ภูเก็ต) นอกจากนี้ทาง ททท. ยังอยู่ระหว่างการวางแผนทำงานร่วมกับพันธมิตรอีกจำนวนมาก เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มคนโสดซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงออกมาใช้จ่ายและออกเดินทางท่องเที่ยว และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วย โควิดรอบ 2 กระทบท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 พบว่า จากปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายและการท่องเที่ยว ซึ่งมีผลต่อเงินสะพัดในปีใหม่เหลือเพียง 91,468 ล้านบาท เป็นมูลค่าต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทครั้งแรกในรอบ 9 ปี และมูลค่าต่ำสุดในรอบ 10 ปี อีกทั้งเป็นอัตราการติดลบมากสุดในรอบ 15 ปีนับจากที่ทำการสำรวจ ซึ่งติดลบถึง 33.6% เฉพาะในส่วนนี้เป็นผลจากการไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศที่มีวงเงินปีละกว่า 35,000 ล้านบาท เมื่อดูการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการใช้จ่ายในช่วงปีใหม่นี้ พบว่า ประชาชนระบุว่าจะใช้จ่ายเพื่อการเสี่ยงโชค และซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเพิ่มขึ้น และเป็นอันดับแรกของการใช้ที่คนไทยยอมจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 35% และ 33.5% ตามลำดับ ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ สามารถควบคุมได้ และภาครัฐมีมาตรการที่สร้างความมั่นใจให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ก็มีโอกาสที่มูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจจะต่ำกว่าตัวเลขที่ประเมินไว้ แต่ทั้งนี้ต้องรออีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อดูว่าการติดเชื้อนอกพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร รุนแรงเพียงใด แต่ระยะสั้นจะกระทบการจับจ่ายช่วงปลายปี กิจกรรมเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่คงจะเงียบ แต่หากควบคุมการระบาดได้ดีคาดว่า 2-3 เดือนนี้ ธุรกิจต่างๆ คงกลับมาเป็นปกติ ส่วนศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ธนาคารทหารไทย ประเมินว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่สมุทรสาคร และลามสู่พื้นที่อื่นๆ กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ การใช้จ่าย การท่องเที่ยวค่อนข้างมากโดยเฉพาะช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ สิ่งสำคัญสุดคือต้องติดตามควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ ถ้าหากเกิดการล็อคดาวน์ประเทศรอบใหม่เหมือนครั้งแรก มูลค่าเศรษฐกิจจะหายไปทันที 4-5 แสนล้าน โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ หากต้องล็อคดาวน์ จะมีผลต่อจีดีพีต่อไตรมาสประมาณ 2.8 แสนล้านบาททีเดียว