ทิวา สาระจูฑะ
ก่อนถึงคริสต์มาสอีฟเพียงวันเดียว เลสลี เวสต์ เจ้าของริฟฟ์กีตาร์ที่หนาปึ้กและการโซโล่เกรี้ยวกราดแหลมคมผ่าน “Mississippi Queen” และเพลงร็อกอมตะอีกหลายเพลงของ เมาน์เท่น ในทศวรรษ 1970 ก็เสียชีวิตลง เมื่อวันพุธที่ 23 ธันวาคม 2020 ที่บ้านของเขาในปาล์ม โคสต์, ฟลอริด้า ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ในวัย 75 ปี
น้ำหนักของเขาเป็นปัญหามาเกือบตลอดชีวิต แม้ในช่วงทศวรรษ 1990 เขาจะลดน้ำหนักจนดูผอมลงไปมาก แต่ไม่นานก็กลับขึ้นไปอย่างเดิมอีก หลายปีที่ผ่านมา เวสต์ ก็มีปัญหาสุขภาพหลายด้าน ตอนต้นปี 2000 พบมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ ถัดมาอีกปี เขาต้องตัดขาขวาท่อนล่างทิ้งอันเนื่องมาจากโรคเบาหวาน แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดยั้งเขาในการทำงานดนตรีและออกทัวร์คอนเสิร์ต
ทศวรรษ 1960-1970 ยุคที่นักดนตรีร็อคเกือบทั้งหมดมีรูปร่างผอมเพรียว อย่างแรกที่ปะทะสายตาสาธารณชน เลสลี่ เวสต์ แตกต่างจากทุกคนด้วยเรือนร่างอ้วนใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นตำนานบทสำคัญไม่ใช่เพียงเรือนร่าง เป็นฝีมือการเล่นกีตาร์ที่ไม่เหมือนใคร “ผมทำงานเรื่องเสียงกีตาร์ของผมตลอดเวลา” เขาเคยให้สัมภาษณ์ “ผมไม่ได้เล่นเร็ว ผมใช้แค่สองนิ้ว ผมอยากได้โทนหนาที่สุด ใหญ่ที่สุด”
สไตล์การร้องของ เวสต์ ก็เหมือนเงาสะท้อนการเล่นกีตาร์ของเขา แผดเสียงกร้าว หนักแน่น เต็มไปด้วยพลัง นี่เป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของวง เมาน์เท่น เพราะอีกด้านที่ไพเราะนุ่มนวล จะร้องโดย เฟลิกซ์ พัปปาลาร์ดี มือเบสส์และโปรดิวเซอร์ ตอนแรกที่ เมาน์เทน ปรากฏตัวออกมา นิตยสาร โรลลิ่ง สโตน เคยเรียกพวกเขาว่า “ครีม ในภาคที่ดังกว่า”
เลสลี เวสต์ เกิดในนิวยอร์กเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 1945 เริ่มหัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่ยังไม่ถึง 10 ขวบ กลางทศวรรษ 1960 เขาตั้งวงในแบบโซล/ร็อคร่วมกับ ลาร์รี่ พี่ชายของตน วงชื่อ เดอะ วาแกรนท์ส มีซิงเกิลฮิตเล็กๆคือ “I Can’t Make a Friend” และ “Respect” แต่ เวสต์ ต้องการให้ดนตรีของเขาหนักหน่วงขึ้น จึงขอแยกทางจากวง และมาทำอัลบั้มเดี่ยว Mountain ในปี 1969
เฟลิกซ์ พัปปาลาร์ดี ผู้ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ให้ เดอะ ยังบลัดส์, ครีม (Disraeli Gears, Wheels of Fire และ Goodbye) รวมถึง เดอะ วาแกรนท์ส และเป็นโปรดิวเซอร์, เล่นเบสส์บันทึกเสียง และร่วมแต่งเพลงในอัลบั้ม Mountain ถูก เวสต์ ชวนให้ตั้งวงทริโอในแบบเดียวกับ ครีม
เวสต์ บอกกับ พัปปาลาร์ดี ว่า “ไม่เคยมีหนุ่มอ้วนกับผอมบนเวที (ร็อค) เราไม่พลาดแน่” เมาน์เทน ได้ขึ้นแสดงบนเวที วู้ดสต็อค เทศกาลประวัติศาสตร์ปี 1969 เพราะผู้จัดการทัวร์เป็นคนเดียวกับ จิมมี เฮนดริกซ์ บนเวทีวันนั้นมี สตีฟ ไนก์ท เล่นคีย์บอร์ด และใช้บริการมือกลองรับจ้าง เอ็น.ดี. สมาร์ท หลังจาก วู้ดสต็อค ผ่านไปจึงชักชวนมือกลอง คอร์กี แลง มาร่วมวงอย่างเป็นทางการ
เมาน์เทน ออกอัลบั้มได้เพียง 3 ชุด (Climbing!, Nantucket Sleighride และ Flowers of Evil) ก็แยกทางกันในปี 1972 แต่จาก 2 ชุดแรก เมาน์เท่น ก็ได้สร้างอิทธิพลมากมายในแนวทางดนตรีฮาร์ด-ร็อค และมีผลงานเพลงที่ขึ้นชั้นอมตะ อย่าง “Mississippi Queen”, “For Yasgur’s Farm”, “Nantucket Sleighride”, “Theme for an Imaginary Western” และ “Crossroader” พวกเขาพยายามกลับมารวมกันอีกในปี 1973 และทำอัลบั้ม Avalanche (ออกขายในปี 1974) แต่ก็ไปด้วยกันไม่รอด
เวสต์ ออกอัลบั้มเดี่ยวของตน 10 กว่าชุด และกลับไปร่วมกับ คอร์กี แลง ทำอัลบั้มในนาม เมาน์เทน อีก 4 ชุด อัลบั้มสุดท้ายที่เขาทำกับ เมาน์เทน คือ Masters of War (2007) เป็นการนำเพลงของ บ็อบ ดีแลน มาบันทึกเสียงใหม่ทั้งชุด ส่วนอัลบั้มเดี่ยวหลังสุดของเขาคือ Soundcheck ซึ่งขึ้นไปติดถึงอันดับ 2 บนตารางอัลบั้มบลูส์ของ บิลล์บอร์ด ในปี 2015
นอกจากนี้ เวสต์ ยังไปร่วมบันทึกเสียงกับศิลปินร็อกระดับตำนานรุ่นใกล้เคียงกัน อย่าง เอียน กิลแลน, อ็อซซี่ ออสบอร์น และ ปีเตอร์ แฟรมพ์ตัน รวมถึงออกคอนเสิร์ตอยู่เป็นระยะ โดยมีเก้าอี้และทางพิเศษที่นำเขาขึ้นสู่เวที
ตลอดอาชีพของ เลสลี เวสต์ เขายังเล่นกีตาร์ในแบบของตน ที่กลายเป็นอิทธิพลต่อนักกีตาร์รุ่นหลังมากมาย “ในทางเท็คนิค ผมไม่ใช่นักกีตาร์ยิ่งใหญ่” เขาให้สัมภาษณ์เมื่อปี 1987 “แต่คุณรู้ไหมว่าทำไมคนจำผมได้? ถ้าคุณเอานักเล่นกีตาร์ 100 คน ใส่ไว้ในห้องห้องหนึ่ง 98 หรือ 99 คนก็จะมีเสียงเหมือนๆกัน
“คนที่เล่นแตกต่าง นั่นคือคนที่คุณจะจำได้”