เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์และสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ไทยคุณภาพส่งป้อนตลาดฝ่าวิกฤติโควิด-19 แก้จุดอ่อนภาพยนตร์ฮอลลีวูดเลื่อนการเข้าฉาย พร้อมผลักดันส่งออกไปขายยังตลาดกลุ่มประเทศ CLMV และตลาดโลก เพื่อให้ธุรกิจภาพยนตร์ไทยและโรงภาพยนตร์เติบโตควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ หวังเห็นภาพยนตร์ไทยเติบโตมีมาร์เก็ตแชร์ 50% เพื่อพัฒนาก้าวสู่ Tollywood (Thailand+Hollywood) of The World ปีหน้าเป็นปีที่ Movie is back, No Time To Die เพราะมีภาพยนตร์บ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ซึ่งเลื่อนฉายจากปีนี้เข้าฉายหลายเรื่อง ทำให้ปีหน้ามีภาพยนตร์ที่น่าสนใจให้ชมกันจำนวนมาก จะทำให้รายได้ฟื้นตัวกลับมาเติบโตขึ้น พร้อมต่อยอดด้วย New Business และใช้พื้นที่โรงภาพยนตร์สร้างรายได้เพิ่ม นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2563 เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ต้องปิดบริการชั่วคราว เป็น Global Crisis ที่เกิดขึ้น เข้าใจภาครัฐว่ามีความจำเป็นจะต้องล็อกดาวน์ เพื่อสู้กับสงครามการแพร่ของโรคระบาดที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าทุกส่วนโดนผลกระทบกันทั้งหมด สำหรับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป รายได้ช่วงปิดให้บริการหายไป แต่ไม่กระทบโครงสร้างของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ เมื่อโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการ หนังสามารถกลับมาฉายได้ทันที เพราะหนังเป็นสินค้าที่ไม่เน่าเสีย ลูกค้าคือกลุ่มคนไทยก็จะกลับมาดูหนัง ซึ่งตรงกับผลจากการทำรีเสิร์ชพบว่าคนอยากกลับมาดูหนัง ซี่งโรงภาพยนตร์ต้องสร้างความเชื่อมั่นด้วยมาตรการ New Normal คุมเข้มในส่วนของความสะอาดและความปลอดภัยขั้นสูงสุดสำหรับลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญ ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของธุรกิจโรงภาพยนตร์และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ต้องถอดบทเรียนกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยจากนี้ไปการดำเนินธุรกิจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นปีที่ท้าทายของทุกธุรกิจ เป็นสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งอยู่เหนือการคาดเดาและการควบคุม ไม่มีอะไรแน่นอน ต้อง Transform องค์กรและปรับโครงสร้างการทำงานใหม่เป็น Total Digital Organization และสร้าง Business Model ให้แข็งแรง ด้วย 3 T ดังนี้ 1.Thai Movie ที่ผ่านมาในช่วงสถานการณ์วิกฤติของไวรัสโควิด-19 ภาพยนตร์ไทยกลาย เป็นคอนเทนต์หลักที่ช่วยให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์สามารถผ่านจุดวิกฤต ถือเป็นช่วงโอกาสทองของภาพยนตร์ไทยที่จะโชว์คอนเทนต์อย่างเต็มที่สู่ตลาด สามารถช่วยแก้ปัญหาจากบทเรียนของสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา เมื่อตลาดโรงภาพยนตร์โลกขาดสินค้าหรือคอนเทนต์ที่เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเข้าฉาย แต่หากเรามีภาพยนตร์ Local Film ที่สร้างเอง ก็จะทำให้มีคอนเทนต์ป้อนตลาด โดยไม่ต้องรอภาพยนตร์ฮอลลีวูด ทั้งนี้ที่ผ่านมามีภาพยนตร์ไทย 3 เรื่องที่ทำให้ภาพยนตร์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง นั่นคือ ภาพยนตร์เรื่อง “มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ” ที่สามารถตอบโจทย์คนดูทางภาคใต้ ทำรายได้ ไปถึง 43 ล้านบาท ตามมาด้วย “อีเรียมซิ่ง” ซึ่งขณะนี้กวาดรายได้ไปแล้ว 200 ล้านบาท หากคอนเทนต์ทำได้น่าสนใจและโดนใจคนดู คนก็จะออกมาดูหนัง ดังนั้น เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จึง Rethink ด้วยการให้ความสำคัญในการพัฒนา ส่งเสริม สนับสนุนและผลักดันให้บริษัทผลิตภาพยนตร์ผลิตภาพยนตร์ไทยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ คือ เป็นทั้ง ผู้สร้าง Local Film และผู้ฉาย หวังสร้าง Local Content ให้แข็งแรง เพื่อสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง มั่นใจว่าหากมีคอนเทนต์ภาพยนตร์ไทยที่น่าสนใจและมีคุณภาพ ก็สามารถส่งออกไปขายยังตลาดกลุ่มประเทศ CLMV และตลาดโลกได้ และส่งผลให้ธุรกิจภาพยนตร์ไทยและธุรกิจโรงภาพยนตร์เติบโตควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน หวังให้ภาพยนตร์ไทยเติบโตมี มาร์เก็ตแชร์ 50% เพื่อพัฒนาก้าวสู่ Tollywood (Thailand+Hollywood) of The World ที่คนทั่วโลกรู้จักนอกเหนือจาก ฮอลลีวูด และบอลลีวูดในอินเดีย อย่างไรก็ตาม แม้ปีนี้อาจเป็นปีที่ไม่ค่อยดีนักของโรงภาพยนตร์ แต่ปีหน้า ปี 2564 จะเป็นปีที่ Movie is back, No Time To Die จะมีภาพยนตร์เข้าฉายให้ลูกค้าได้ชมกันมากถึง 260 เรื่อง เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดประมาณ 210 เรื่อง เป็นภาพยนตร์ไทยประมาณ 50 เรื่อง เป็นของบริษัทผลิตภาพยนตร์ไทยในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จาก 6 ค่าย ได้แก่ M PICTURES, M๓๙, Transformation Film, CJ MAJOR Entertainment, TAI MAJOR และ รฤก โปรดักชั่น รวม 20 เรื่อง เป็นการผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากที่เคยผลิตเพียงปีละ 10-12 เรื่อง, GDH 4 เรื่อง, สหมงคลฟิล์ม 7 เรื่อง ไฟว์สตาร์ 3 เรื่อง และค่ายหนังอื่น ๆ คาดว่าเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงิน อาทิ คุณชายใหญ่, บอสฉัน... ขยันเชือด My Boss is a Serial Killer, เรื่องผีเล่า, ไสหัวไป นายส่วนเกิน, Game Changer, Ghost Lab โกสต์แล็บ ฉีกกฎทดลองผี, ส้มปลาน้อย, ผีมือใหม่, ผาดำคำไอ่, SLR, พี่นาค 3, ร่างทรง, แดงพระโขนง, แสงกระสือ 2, สุภาพบุรุษสุดซอย The Movie, I Am OK และ บุพเพสันนิวาส ๒ ส่วนภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่เข้าฉายมีประมาณ 210 เรื่อง ส่วนหนึ่งเป็นภาพยนตร์ที่เลื่อนฉายจาก ปี 2563 ในช่วงโควิด-19 เป็นภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยการกลับมาฉาย ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูด บ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ที่คาดว่าจะทำเงิน อาทิ Black Widow, Godzilla VS Kong, Fast & Furious 9, Mission : Impossible 7, Spider-Man Sequel, The Matrix 4, Venom 2, The Conjuring 3, Mortal Kombat, The King’s Man, Morbius, No Time to Die, A Quiet Place Part 2, Infinite, Top Gun 2 :Maverick, Minions : The Rise of Gru, Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings, Jungle Cruise, The Suicide Squad 2, Dune, The Eternals 2.Technology นโยบาย Major 5.0 มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาเติมเต็มในการให้บริการมากขึ้น โดย เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ถือเป็นโรงภาพยนตร์รายแรกของโลกที่ขับเคลื่อนธุรกิจที่มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการลูกค้าตลอดมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การขายตั๋วผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ E Ticket แล้วพัฒนาต่อเป็น Seamless Ticket โดยมอบประสบการณ์การซื้อผ่านแอพได้ตั๋ว นำมาสแกนที่ตู้แล้วเดินเข้าโรงภาพยนตร์ได้ทันที นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบ AI&ML เป็นระบบ Movie Recommendation Engine เพื่อส่งมอบโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้นเป็น Personalized แบบ One-on-One offering เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่แตกต่างกัน ตลอดจน การเปลี่ยนเป็น Cashless ด้วยการให้บริการบัตรเงินสด M Cash และขยายฐานการขายตั๋วผ่านพาร์ทเนอร์ ทุกธนาคาร และระบบเพย์เมนต์ต่าง ๆ เช่น ทราเวลโลก้า, ไลน์, แอร์เพย์, ช๊อปปี้, ดอลฟิน, ทรูมันนี่, KMA, Uchoose พร้อมเปิดรับสมัครสมาชิก M Generation,M Pass และยังเดินหน้าพัฒนาแอพให้เป็น Super Application เพื่อเป็นช่องทางการขายตั๋วผ่าน Mobile Ticketing 100% ซึ่งจะทำให้ Digital Lifestyle การชมภาพยนตร์ การซื้อตั๋วหนัง จะง่ายขึ้น เร็วกว่า และสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยระบบการซื้อตั๋วผ่านแอพแบบ Seamless + Ticketless จะตอบโจทย์ลูกค้าเรื่องความสะดวกสบายในการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ การ Integrate ระบบขายตั๋ว ระบบ M GEN และ Movie content ใน Major Super App และ การใช้ Data Analytic เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทำ Maximize Yield Managment คล้ายระบบ Revenue Optimization ของสายการบิน เพื่อให้จัดโปรแกรมรอบฉายได้ตรงใจแบบเรียลไทม์มากขึ้น และยังมีการเปิดตัว M GEN NEXT การปรับลอยัลตี้ แพลตฟอร์มครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าที่เป็น Heavy User จะเหมาะกับโปรแกรม M PASS และลูกค้าทั่วไป Light user เหมาะกับ M GEN NEXT 3.Trading เกิด New Business จากการเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์กับ “Major Popcorn Delivery” ที่ตอบรับความต้องการและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ต้องการสั่งออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่ โดยร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจ Food Delivery อย่าง Grab Food, foodpanda, LINEMAN, gojek จัดส่งป๊อปคอร์นสดใหม่จากโรงภาพยนตร์ไปให้ลูกค้าได้รับประทานทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่ไหนๆก็สามารถอร่อยกับป๊อปคอร์น Pop Corn Supersize ป๊อปคอร์นถังใหญ่ขนาด 355 ออนซ์, Pop To Go ป๊อปคอร์นในถุงซิปล็อค ขนาด 75 ออนซ์, POP STAR ป๊อปคอร์นพรีเมียมบรรจุในกระป๋อง ขนาด 60 ออนซ์ ขณะเดียวกันได้ขยายช่องทางการขายป๊อปคอรน์เข้าไปในอีเวนต์ต่าง ๆ เช่น กีฬา, คอนเสิร์ต, Pop To Go ในห้างสรรพสินค้า และล่าสุดได้ขยายไลน์สินค้าป๊อปคอร์นด้วยการเปิดตัว ป๊อปคอร์น พรีเมียม POPSTAR ให้ลูกค้าที่ชื่นชอบในรสชาติของป๊อปคอร์นโรงหนังที่เป็นเอกลักษณ์ ได้เลือกอร่อย ใน 3 รูปแบบ คือ ป๊อปสตาร์ สแน็ค ป็อปคอร์นแบบซอง, ป๊อปสตาร์ ไมโครเวฟ รสชีส ทำเองได้ ง่าย ๆ เพียงเข้าไมโครเวฟ กับความพิเศษมาพร้อมผงปรุงรสชีสในซอง และ ป๊อปสตาร์พรีเมียม ทินแคน ป๊อปคอร์นพรีเมียมบรรจุกระป๋อง ลูกค้าสามารถซื้อเป็นของขวัญ ของฝาก หรือจัดกระเช้าป๊อปคอร์นนำไปส่งมอบในช่วงเวลาแห่งความสุข Season Of Happiness ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ได้ด้วย ในอนาคตจะมีการขยาย Outlet การขายออกไปนอกโรงภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้น นายวิชา กล่าวถึงแผนการตลาดในปี 2564 ว่า จะทำการตลาดแบบ Convergence โดยทำ ON-GROUND ควบคู่ไปกับ ONLINE จากความสำเร็จของการเติบโตของ M PASS ซึ่งถือว่า เป็น O2O Platform ที่มีความสะดวกสามารถสมัครผ่านออนไลน์ ทำให้ลูกค้ามาดูภาพยนตร์ที่โรงเติบโตมากถึง 100,000 Member และมียอดสมัครใหม่มากกว่าเดือนละ 30,000 คน มีการใช้ดาต้าเบสเพื่อหาลูกค้ากลุ่มใหม่ผ่านเครื่องมือ GA360 เพื่อใช้ Application ในการนำเสนอโปรโมชั่นดิจิตอล หรือ M VOUCHER ให้ตรงใจกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ได้เลือกสรรคอนเทนต์ที่มีความหลากหลายที่เป็น Alternative Content, Non-Movie Content เพื่อนำประสบการณ์พิเศษแปลกใหม่เข้าสู่โรงภาพยนตร์ เช่น การแข่งขันอีสปอร์ต, Dine in Cinema ส่วนคอนเทนต์ภาพยนตร์มีการนำเสนอคอนเทนต์เอเชี่ยนที่มาแรง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่น เกาหลี จีน อินเดีย ที่มีความน่าสนใจมากขึ้นและให้มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น พร้อมต่อยอดการนำพื้นที่โรงภาพยนตร์มาเป็นสถานที่ใช้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายให้กับลูกค้าในการเข้าใช้บริการ เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม อาทิ การจัดสัมมนา,การจัดประชุมผู้ถือหุ้น,การจัดเสวนาทางวิชาการ,การจัดงานแถลงข่าว,การจัดกิจกรรมติวเตอร์,การถ่ายทอดสด Live Streaming การประกวดมิสยูนิเวอร์สไทยแลนด์ ปี 2020 และคอนเสิร์ตออนไลน์ (LIVE) จากญี่ปุ่นและเกาหลี,การจัดงานมอบรางวัล,การฉายภาพยนตร์ซีรีย์รอบพิเศษ,การจัดงานแต่งงาน เป็นต้น ตลอดจนมีการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นทุกๆเดือนให้มีความน่าสนใจ โดยล่าสุดมีผู้ชมมากกว่า 500,000 คน กับโปรโมชั่นฉลองครบรอบ 26 ปี เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป แทนคำขอบคุณจากใจ ด้วยการเปิดให้ชมภาพยนตร์ในราคา 26 บาท ในวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นวันที่มีผู้ชมภาพยนตร์มากที่สุดในปีนี้ในวันเดียว และสิ่งสำคัญคือการสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่ช่วยขายบัตรชมภาพยนตร์ในกลุ่ม E-Wallet,ธนาคาร,มือถือ,ประกันชีวิต ที่จะช่วยให้สามารถขยายฐานผู้ชม และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับลูกค้า สำหรับแผนการขยายสาขาในปี 2564 บริษัทฯ จะลงทุนขยายสาขาในต่างจังหวัด 8 สาขา 24 โรง และสาขาในกัมพูชา อีก 2 สาขา 6 โรง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการชมภาพยนตร์ไทย โดยเฉพาะภาพยนตร์ภูมิภาค (Regional Film) คือ ภาพยนตร์ที่นักแสดงพูดภาษาถิ่นของแต่ละภาค ที่ผ่านมามีภาพยนตร์ Regional Film ได้รับการตอบรับจากลูกค้าในแต่ละภูมิภาคเป็นอย่างดี ภาคอีสาน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง นาคี ๒ ทำรายได้กว่า 400 ล้านบาท, ส่ม ภัค เสี่ยน ทำรายได้ไปกว่า 200 ล้านบาทไทบ้านเดอะ ซีรีส์ ภาคใต้เช่น ภาพยนตร์เรื่อง โนราห์, มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ ส่วนภาษาเหนือ ในปีหน้าจะมีภาพยนตร์เรื่อง ส้มป่อย เป็นต้น ปัจจุบัน เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มีสาขาที่เปิดให้บริการรวมทั้งสิ้น 172 สาขา 817 โรง 185,874 ที่นั่ง แยกเป็น สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 47 สาขา 357 โรง 81,388 ที่นั่ง สาขาในต่างจังหวัด 117 สาขา 421 โรง 96,037 ที่นั่ง สาขาในต่างประเทศ 8 สาขา 39 โรง 8,449 ที่นั่ง