ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
อาจารย์พรพิมลหรือพี่จิ๊บเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ แต่แข็งแกร่งยิ่งนัก
ย้อนอดีตไปเมื่อ 33 ปีก่อน ใน พ.ศ. 2530 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เพิ่งจะมีอาคารที่ทำงานอย่างเป็นเอกเทศขึ้นที่ปากเกร็ด ในบริเวณเมืองทองธานี แต่รายรอบนั้นก็ยังเป็นเพียงหมู่บ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์เป็นกลุ่ม ๆ ยังไม่มีศูนย์นิทรรศการและแสดงสินค้าที่เรียกว่า IMPACT ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง บุคลากร มสธ.ทยอยย้ายมาจากที่ทำการชั่วคราวหลายแห่ง เช่นที่ถนนเพชรบุรี โรงแรมเอเชีย และทบวงมหาวิทยาลัย แต่ทุกหน่วยงานก็ยังมาแออัดกันอยู่ในอาคาร 5 ชั้นสร้างใหม่รูปตัวเจ ซึ่งกำหนดพื้นที่ไว้เฉพาะฝ่ายบริหาร สำนักทะเบียนและวัดผล กับสำนักบรรณาสาร(ห้องสมุด)เป็นหลัก ที่แม้ว่าจะมีจำนวนห้องทำงานนับร้อยห้อง แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับคนจำนวนนับพันที่ย้ายกันเข้ามา บางหน่วยงาน เช่น สำนักวิชาการและคณาจารย์ก็ต้องมาอัดกันอยู่ในตึกข้างหน้านี้ก่อน เพื่อรอให้ตึกข้างหลังที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้นสร้างเสร็จ ส่วนที่ค่อนข้างสบายหน่อยก็คือพวกสำนักพิมพ์กับสำนักเทคโนโลยีการศึกษาที่มีอาคารของตัวเองเป็นสัดส่วนเฉพาะ ทำให้ไม่ต้องมายัดเยียดอยู่ในอาคารบริหารข้างหน้า
ตอนที่ผมมาอยู่ มสธ. พี่จิ๊บมีอายุเกือบ ๆ จะ 50 ปีแล้ว ทราบว่าเป็นอาจารย์ประจำในสาขาวิชาวิทยาการจัดการ และยังไปรักษาการเป็นผู้อำนวยการสำนักทะเบียนและวัดผล จนกระทั่งขึ้นเป็นรองอธิการบดีฝ่ายปฏิบัติการ ผมมาเจอพี่จิ๊บตอนที่บุคลากรของ มสธ. มีการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดสอบ ซึ่งพี่จิ๊บในฐานะเป็นรองอธิการบดีที่รับผิดชอบเรื่องนี้ต้องมาชี้แจงรายละเอียดของการประสานงานสอบและตอบคำถามต่าง ๆ ซึ่งก็ชี้แจงได้อย่างชัดเจน ทำให้ผมรู้สึกประทับใจ และนึกชมเชยอยู่ว่า มสธ.ก็มีคนเก่ง ๆ อยู่ด้วย แต่กว่าที่มาสนิทสนมกับพี่จิ๊บก็ใน พ.ศ. 2542 ที่ได้ “ทำงานใหญ่” อย่างหนึ่งด้วยกัน
ก่อนที่จะไปถึง พ.ศ. 2542 ที่ได้ทำงานใหญ่ร่วมกับพี่จิ๊บนั้น ผมได้เจอกับพี่จิ๊บอยู่หลายครั้ง เพียงแต่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการในกิจกรรมต่าง ๆ ของทางมหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ อย่างที่พอจำได้ก็คือตอนที่ผมมาสอบเพื่อเป็นอาจารย์ที่สาขาวิชารัฐศาสตร์ มสธ.ในตอนกลางปี 2530 ซึ่งมีกระบวนการค่อนข้างเคร่งเครียด เพราะต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ถึง 3 ขั้น เริ่มตั้งแต่ที่ต้องส่งผลงานวิทยานิพนธ์และงานวิชาการที่มีให้คณะกรรมการตรวจสอบเป็นขั้นแรก เมื่อผ่านขั้นนี้ก็ต้องเข้าไปสัมภาษณ์ต่อหน้าคณาจารย์ทุกคนของสาขาวิชารัฐศาสตร์ ที่มีอยู่ 11 คน ซึ่งผมจำได้ว่าผมโดนซักถามในหัวข้อวิชาการที่ผมรู้บ้างไม่รู้บ้างอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ที่ “จำติดใจ” ก็คือบรรดาคำถาม “แทงใจ” อันเป็นจิตวิทยาเย้ายั่วของอาจารย์บางท่าน ที่ทำเอาผมแทบไปไม่เป็น ดีที่ว่าผมเป็นคนที่ยอมรับความจริง อะไรที่เรารู้เราก็ตอบไป อะไรที่ไม่รู้เราก็บอกว่าไม่รู้ รวมถึงที่เรามีความรู้สึกหรือความเข้าใจอย่างไร เราก็ตอบออกไปตรง ๆ แต่ที่เราตอบไม่ได้หรือไม่มีความเห็น เราก็ขอโทษขอโพยและบอกว่า “ไม่ทราบจะตอบอย่างไร” แต่ก็สามารถผ่านการสัมภาษณ์ไปได้
ขั้นตอนสุดท้ายคือการฝึกปฏิบัติการเป็นอาจารย์ ที่เรียกว่า Work Shop ซึ่งต้องทำร่วมกันกับผู้ผ่านการสัมภาษณ์ทุกสาขาวิชา เริ่มตั้งแต่การเขียนชุดวิชา(ตำราเรียน มสธ.) การออกข้อสอบ การแปลและย่อบทความ ไปจนถึงการสอนจำลอง ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 3 วันเต็ม โดยต้องไปกินนอนอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย จนถึงวันสุดท้ายก็จะเชิญตัวแทนท่านอธิการบดีมาเป็นสักขีพยานในการตัดสินใจคัดเลือกของคณะกรรมการในแต่ละสาขาวิชา ผมเจอพี่จิ๊บในตอนนี้เอง ซึ่งผู้ผ่านเข้ามาทำเวิร์คชอปของสาขาวิชารัฐศาสตร์มีเพียง 2 คน ผมเป็นผู้โชคดีที่ผ่านการคัดเลือก และพี่จิ๊บได้เข้ามาแสดงความยินดีด้วย ผมจำได้แต่คำพูดที่ว่า “นี่หรือก๊วยเจ๋ง ศิษย์อาจารย์คึกฤทธิ์สวนพลู คงฝีมือไม่เบานะ แล้วคงจะได้มาแสดงฝีมือให้ดู”
ผมได้โอนย้ายจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติมาบรรจุเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ที่ มสธ.ในตอนกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2530 แต่ก็ยังต้องทำหน้าที่เป็นเลขานุการของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อยู่ที่บ้านสวนพลูอยู่ด้วย เนื่องจากกำลังอยู่ในระหว่างรอเลขานุการคนใหม่ที่ทางธนาคารกรุงเทพพาณิชยการกำลังจัดหามาให้ ในช่วงนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ป่วยกระเสาะกระแสะด้วยภาวะเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจนั้นตีบตัน คุณหมอที่โรงพยาบาลสมิติเวชแนะนำให้ไปรับการผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือด (By Pass) ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนไปท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพื่อกราบบังคมทูลลา (ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้กล่าวภายหลังที่รักษาตัวเสร็จจากสหรัฐอเมริกาว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “กลับมานะคุณคึกฤทธิ์ ไม่เป็นไรหรอก”) ซึ่งก็เหมือนเป็นพรวิเศษทำให้การผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดหัวใจที่โรงพยาบาลซีดาร์ไซนาย นครลอสแอนเจลิส (โดยคุณหมอผ่าตัดหัวใจชื่อดัง Jack Matloff) ในครั้งนั้นสำเร็จด้วยดี โดยใช้เวลาพักฟื้นอยู่เกือบ 2 เดือน โดยอยู่ในโรงพยาบาลหนึ่งเดือน และออกมาพักที่ตำหนักของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา นอกเมืองลอสแอนเจลิส อีกเกือบหนึ่งเดือน ซึ่งผมได้ติดตามไปดูแลตลอดช่วงเวลานี้ โดยได้ลาราชการไป และทางมหาวิทยาลัยก็อนุเคราะห์ให้เป็นอย่างดี
ผมเริ่มทำงานที่ มสธ.อย่างเต็มตัวในต้นปี 2531 ผมต้องเข้ารับการปฐมนิเทศอาจารย์ใหม่ในรุ่นต่อมา เนื่องจากไม่ได้ไปร่วมในรุ่นเดียวกันที่สอบเข้ามาได้ในปีก่อน แต่ก็ได้กำไรมากกว่ารุ่นนั้น เพราะเป็นรุ่นที่มีคนสอบเข้ามาจำนวนมากกว่า ไม่เพียงแต่จะมีอาจารย์ใหม่กว่า 30 คนแล้ว ยังมีบุคลากรสายงานอื่น ๆ อีกกว่า 80 คน ทำให้ผมได้รู้จักคนมากมาย หลายคนสนิทสนมกันมาก และได้ร่วมทำงานสำคัญ ๆ ใน มสธ.มาหลายอย่าง เป็นความประทับใจที่ไม่มีวันลืม ซึ่งจะได้เล่าให้ฟังต่อไป โดยมีพี่จิ๊บเป็นหัวเรือใหญ่ที่จะนำไปสู่เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น
พี่จิ๊บได้มาร่วมกับท่านอธิการบดีทำพิธีเปิดการปฐมนิเทศบุคลากรรุ่นนั้น พวกผมที่เป็นข้าราชการใหม่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับระเบียบต่าง ๆ ของทางราชการ มีการอบรมให้ทำงานเป็นทีม เรียนรู้หน้าที่การทำงานและความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนการให้บริการนักศึกษา และการให้บริการทางวิชาการแก่สังคม สำหรับผมนั้นชอบวิชาที่สอนให้เป็น “วิทยากรมืออาชีพ” นั้นเป็นพิเศษ จำได้ว่าอาจารย์ที่มาสอนก็คือ อาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ นักพูดและนักกิจกรรมทางสังคมชื่อดัง (ต่อมาได้เป็น ส.ส.ของพรคพลังธรรม แต่ต้องลาออกจากตำแหน่งไปเพราะไปพูดพาดพิงเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม) ที่มีลีลาและลูกเล่นในการสอนแพรวพราว จนมายึดถือเป็นไอดอล ที่บางครั้งก็ทำให้ผม “เกือบเสียท่า” เหมือนกับอาจารย์ผู้สอนนั้นด้วย
พี่จิ๊บดูเหมือนจะชื่นชมบุคลากรใหม่ ๆ หลายคน เหมือนว่ากำลังมองอนาคตอะไรสักอย่าง