วันที่ 10 ธ.ค. 2563 รายงานข่าวจากประเทศอิตาลี ว่า เปาโล รอสซี ตำนานนักฟุตบอลที่พาทีมอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 1982 ที่ประเทศสเปน เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 64 ปี สำหรับ นักเตะในตำนาน : เปาโล รอสซี่ เกิดวันที่ 23 กันยายน 1956 สัญชาติ อิตาลี ส่วนสูง 1.78 เมตร ตำแหน่ง กองหน้า อาชีพ คอลัมนิสต์ของ Mediaset Premium เกียรติประวัติ สโมสร (ยูเวนตุส) แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1985 แชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ 1984 แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1984 แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 1982, 1984 แชมป์โคปปา อิตาเลีย 1983 ทีมชาติ แชมป์เวิลด์ คัพ 1982 รางวัลส่วนตัว บัลลง ดอร์ 1982 นักเตะยอดเยี่ยมเวิลด์ คัพ 1982 ดาวซัลโวลเวิลด์ คัพ 1982 ติดทีมยอดเยี่ยมเวิลด์ คัพ 1982 ดาวยิงสูงสุดกัลโช่ เซเรีย อา 1978 สโมสรที่เคยเล่น ยูเวนตุส 1973-1975 ลงเล่น 0 นัด ยิง 0 ประตู โคโม่ (ยืมตัว) 1975-1976 ลงเล่น 6 นัด ยิง 0 ประตู วิเซนซ่า 1976-1980 ลงเล่น 94 นัด ยิง 60 ประตู เปรูจา (ยืมตัว) 1979-1980 ลงเล่น 28 นัด ยิง 13 ประตู ยูเวนตุส 1981-1985 ลงเล่น 83 นัด ยิง 24 ประตู มิลาน 1985-1986 ลงเล่น 20 นัด ยิง 2 ประตู เวโรน่า 1986-1987 ลงเล่น 20 นัด ยิง 4 ประตู ทีมชาติอิตาลี ลงเล่น 48 นัด ยิงไป 20 ประตู "ล้มแล้วต้องลุกให้ได้" นี่คือคำพูดของเปาโล รอสซี่ หนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดที่อิตาลีเคยมี วันที่ 30 ธันวาคม 1979 ได้มีการสอบสวนรอสซี่กับเพื่อนรวมทีมในกรณีล้มบอล ในเกมที่เปรูจา เสมอ 2-2 กับอเลวิโน พบว่ามีความผิดจริง แม้ว่ารอสซี่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองแต่ก็ไม่พ้นโทษคือโดนแบน 3 ปีแต่สโมสรอุทธรณ์ให้เหลือ 2 ปี และเมื่อเขากลับมาเขาได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวเองอีกครั้ง รวมถึงการพาทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกด้วย เส้นทางอาชีพในสโมสร เขาเริ่มจากการเป็นนักเตะเยาวชนของยูเวนตุส แต่มีปัญหาบาดเจ็บหัวเข่ามาตลอด ยูเวนตุสเลยปล่อยตัวให้โคโม่ยืม แม้จะลงเล่นให้กับโคโม่ไปแค่ 6 นัดและยังยิงประตูไม่ได้เลย แต่แมวมองของวิเซนซ่ามองเห็นแววในตัวของเขา จัดการติดต่อยืมตัวและซื้อตัวรอสซี่จากยูเวนตุสด้วยค่าตัวสถิติโลกในตอนนั้นด้วยค่าตัวสูงสุด 1.7 ล้านปอนด์ในปี 1976 แล้วรอสซี่ก็ไม่ทำให้วิเซนซ่าผิดหวัง เมื่อเขาเป็นดาวซัลโวในปี 1977 ยิงไป 21 ประตูในเซเรีย บี ทำให้ทีมเลื่อนชั้นมาเล่นในซีเรีย อา ได้สำเร็จ และในฤดูกาลถัดมาฟอร์มของเขายังร้อนแรงเช่นเคยเมื่อเขายิงประตูในเซเรีย อา ไปถึง 24 ประตู คว้าดาวซัลโวของลีก เป็นนักเตะคนแรกที่สามารถคว้าดาวซัลโวทั้งสองชั้นติดต่อกัน แต่ในฤดูดาลถัดมารอสซี่มีอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ยิงประตูได้เพียง 15 ประตูและวิเซนซ่าปล่อยตัวให้เปรูจายืมต่อในฤดูกาลถัดไปและเจอข้อหาล้มบอลในที่สุด ในช่วงเวลาที่รอสซี่นั้นถูกแบนลงสนาม ยูเวนตุสเลยติดต่อขอซื้อตัวรอสซี่กลับมาในราคา 500,000 ปอนด์ เรื่องอื้อฉาว ในตอนที่เขาเล่นให้กับเปรูจานั้น เขาทำประตูไปได้ถึง 13 ประตู และยังช่วยให้สโมสรผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในยูฟ่า แต่แล้วก็มีชื่อของเปาโล รอสซี่ เข้าไปมีเอี่ยวกับการพนันฟุตบอล หรือ Totonero(แอดมินจะอธิบายเหตุการณ์ Totonero 1980 ในโพสถัดไปนะคะ) ทำให้เขาถูกตัดสินให้โดนโทษแบนเป็นเวลา 3 ปี แต่สโมสรก็อุทธรณ์จนลดลงเป็นโดนแบนสองปี โดยรอสซี่นั้นยืนยันว่าตัวเขาเองนั้นบริสุทธื์และเขากลายเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม แต่ก็ไม่ทำให้เขารอดพ้นจากข้อหาได้ รอสซี่คัมแบ็ค รอสซี่กลับมาเล่นให้กับยูเวนตุสได้ในปี 1982-83 ในปีนั้นยูเวนตุสจบที่ 2 ซีเรีย อา แต่ในปี 1983 รอสซี่ก็ช่วยให้ยูเวนตุสคว้าแชมป์โคปา อิตาเลีย โดยยิงไปทั้งหมดถึง 5 ประตูในรายการนี้ นอกจากนั้นยังมีส่วนช่วยให้ยูเวนตุสผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศใน UCL และในนัดชิงยูเวนตุสพ่ายให้กับฮัมบูร์กไป 1-0 ได้รองแชมป์ไป และในปี 1984 เขาก็ได้แชมป์ซีเรีย อา กับยูเวนตุส โดยรอสซี่ยิงไปได้ 13 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด พร้อมทั้งมีส่วนช่วยให้สโมสรคว้าถ้วยยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และวินเนอร์ส คัพอีกด้วย ในช่วงปี 1985 ปีสุดท้ายของรอสซี่กับยูเวนตุส เขาก็พาทีมก็คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ(ชื่อเดิมของUCL) กับยูเวนตุสได้สำเร็จ โดยยิงไปได้ทั้งหมด 5 ประตูจากทัวร์นาเม้นต์นั้น หลังจากเขาออกจากยูเวนตุสแล้ว เขาก็ย้ายไปร่วมทีมมิลาน ภาพที่แฟนๆมิลานจดจำเขาได้คือเขาทำประตูให้กับมิลานได้ 2 ประตูในเกมมิลานดาร์บี้ หลังจากจบฤดูกาลเขาได้ย้ายไปเล่นให้กับเวโรน่าอีก 1 ปีก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ดเนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนเรื่อยๆในปี 1987 ด้วยวัยเพียง 31 ปี ผลงานในทีมชาติ การติดทีมชาติครั้งแรกของรอสซี่นั้นคือปี 1978 ในตอนนั้นเขาคือนักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในกัลโช่เลยก็ว่าได้ กับการเป็นดาวซัลโวสองสมัยสองชั้น(เซเรียบีและอา)ติดกันสองปี ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้อิตาลีจบลงที่อันดับ 4 และรอสซี่ยิงประตูไป 3 ประตู ในปี 1980 เขาถูกตัดสินให้โดนแบนจากคดีล้มบอล บอลโลก 1982 รอสซี่กลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกในปี 1982 แน่นอนว่าเขามีชื่อติดทีมชาติ ท่ามกลางข้อกังขาของแฟนบอลบางส่วนสำหรับกองหน้ารายนี้ที่มีเวลาเตรียมพร้อมเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะลุยศึกบอลโลกที่สเปน แต่ไม่ใช่สำหรับ เอ็นโซ เบียร์ซ็อต โค้ชทีมชาติอิตาลีในเวลานั้น หลังจากรอสซี่พ้นโทษแบนในวันที่ 29 เมษายน 1982 เบียร์ช็อตไม่รอช้า ใส่ชื่อรอสซี่ไปในรายชื่อ 24 นักเตะที่จะไปบอลโลกทันที แน่นอนว่ากองเชียร์นั้นไม่ได้คาดหวังใดๆกับนักเตะชุดนี้เท่าไหร่นัก รอบแบ่งกลุ่มรอบแรกและรอบสอง ผลงานของทีมอิตาลีนั้นนับว่าห่วยแตก โดยเสมอทั้งสามเกม แต่ยังผ่านเข้ารอบไปได้เป็นอันดับสองของกลุ่มเพราะประตูได้เสียดีกว่าแคมเมอรูนและรอสซี่ยังยิงประตูไม่ได้เลย เนื่องจากในปี 1982 ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เพิ่มทีมที่ผ่านเข้ารอบจาก 16 เป็น 24 ทีม จึงมีการแบ่งสายรอบ 2 เป็น 4 กลุ่มเพื่อเอาที่ 1 แต่ละกลุ่มเข้ารอบรองชนะเลิศ และในรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง อิตาลีต้องเจอกับทีมมหาโหดอย่างอาร์เจนติน่าและบราซิล ทำให้แฟนๆคาดว่าอิตาลีคงจะจอดแค่รอบนี้ แม้ว่าอิตาลีจะเอาชนะอาร์เจนติน่าไปได้ 2-1 แต่รอสซี่ก็ยังทำประตูให้กับทีมชาติไม่ได้ และตัวเขาเองถูกกดดันจากแฟนบอลและสื่อในฟอร์มที่ย่ำแย่ของเขา แต่เบียร์ช็อตกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาให้โอกาสรอสซี่เป็นครั้งสุดท้ายในเกมที่อิตาลีต้องเจอกับบราซิลซึ่งเป็นเต็งหนึ่งในขณะนั้น อิตาลีต้องชนะสถานเดียวเท่านั้นถึงจะผ่านเข้ารอบไปได้ (บราซิลเอาชนะอาร์เจนติน่ามา 3-1) และในนัดนั้นเอง ดูเหมือนฟอร์มอันร้อนแรงของเปาโล รอสซี่จะกลับมาแล้ว เมื่อเขาทำแฮตทริกให้กับอิตาลี ส่งผลให้อิตาลีเฉือนชนะบราซิล 3-2 เข้ารอบรองชนะเลิศ รอบรองชนะเลิศ อิตาลีกลับมาเจอกับโปแลนด์อีกครั้งหลังจากที่เจอกันในรอบแรกโดยเสมอกันไป 0-0 และดูเหมือนว่าความมั่นใจของรอสซี่จะกลับมาอย่างเต็มเปี่ยมเมื่อเขาทำประตูชัยให้กับอิตาลีอีก 2 ประตูส่งอิตาลีเข้ารอบเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ ..2 เกม 5 ประตูในบอลโลก นี่ไม่ใช่นักเตะธรรมดาอีกต่อไปแล้ว รอบชิงชนะเลิศ อิตาลีมาเจอกับเยอรมันตะวันตก เป็นการเจอกันของทั้งสองทีมในยุโรปที่สไตล์การเล่นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับบอลที่รับอย่างเหนียวแน่นต้องมาเจอกับเกมที่บุกอย่างไหลลื่นของเยอรมัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของอิตาลี ในเมื่ออิตาลีเป็นทีมที่เกมรับดีที่สุด สามารถจับตายกองหน้าของเยอรมันได้อยู่หมัด ก่อนที่จะยิงประตูทิ้งห่างเยอรมันไปถึง 3 ประตู แม้ว่าเยอรมันจะยิงคืนได้ 1 ลูก แต่ก็ไม่มีผลใดๆ จบเกมอิตาลีเอาชนะเยอรมันไป 3-1 คว้าแชมป์โลกปี 1982 มาครอบได้อย่างพลิกประวัติศาสตร์ และในนัดนี้ รอสซี่ก็ทำประตูได้ 1 ประตูจากการเปิดบอลของ เคลาดิโอ เจนติเล่ ที่เปิดบอลมาหน้าประตูและรอสซี่เข้าไปยิงได้เป็นลูกแรกและยังทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำอีกด้วยจากการยิงไป 6 ประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ รอสซี่สามารถลบคำครหาที่มีต่อเขาและของทีมชาติตั้งแต่ตอนที่เขามีชื่อติดทีมชาติมาจนถึงรอบแบ่งกลุ่มรอบแรกไปได้จนหมดสิ้น และเพียง 3 นัดเท่านั้นสามารถแจ้งเกิดเขาให้ทั่วโลกได้เป็นที่รู้จัก ในขณะนั้นรอสซี่มีอายุได้ 26 ปี ในปีนี้เองถือว่าเป็นปีทองในชีวิตของรอสซี่เลยก็ว่าได้เมื่อเขาสามารถคว้ารางวัลมาได้อีกมากมาย ทั้งแชมป์โลก, บัลลง ดอร์, นักเตะยอดเยี่ยมเวิลด์ คัพ, ดาวซัลโวลเวิลด์ คัพ(รองเท้าทองคำ)และอิตาลียังติดติดทีมยอดเยี่ยมเวิลด์ คัพอีกด้วย ในปี 1986 รอสซี่มีชื่อติดทีมชาติอีกครั้งในการป้องกันแชมป์โลก แต่เนื่องจากเขามีอาการบาดเจ็บ เขาจึงถอนตัวออกจากรายการนี้ นัดสุดท้ายที่เขาได้ลงเล่นให้กับอิตาลีคือ นัดอุ่นเครื่องระหว่าง อิตาลีกับจีนที่เนเปิ้ล นัดนั้นอิตาลีเอาชนะไป 2-0 และนั่นคือนัดสุดท้ายของรอสซี่ในทีมชาติ..# สำหรับบอลยูโร เนื่องจากมีบอลยูโรในปี 1980 ซึ่งเป็นปีที่รอสซี่โดนแบน ทำให้เขาพลาดที่จะได้ไปเล่นในศึกนี้ ขอขอบคุณข้อมูล และรูปภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Azzurri Fans Club Thailand