“วิษณุ” เคลียร์ปมคำสั่งคสช.เรียกบุคคลรายงานตัวขัดรธน. ยันคนถูกเรียกตัวฟ้องย้อนหลังไม่ได้ “รบ.” เตือนแกนนำม็อบละเมิดอำนาจศาล บอกเห็นหัวประชาชนบ้าง อย่าทำตัวใหญ่คับเมือง “ปารีณา”ลุยแจ้งความ “เพนกวิน” ดูหมิ่นศาล-เจ้าพนักงาน ด้าน“เรืองไกร” ยื่นฟัน “บิ๊กตู่” ต่อปมพักบ้านหลวง ชี้เข้าข่ายผิดกฎหมาย ป.ป.ช. “ทักษิณ” ออกโรงช่วย “ผู้สมัครอบจ.” หาเสียง ฝากชาวเชียงใหม่ช่วยหนุน เหน็บ“นักการเมืองบางคน” ทิ้งไปยังรู้สึกเฉยๆ ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.63 นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แก้ไขเพิ่มเติม) แถลงผลการประชุมว่า นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน(ไอลอว์) ชี้แจงยืนยันกับกมธ.เหมืนเดิมว่า การเลือกตั้งส.ส.ร. ต้องเป็นเขตประเทศ โดยมีทั้งรายกลุ่ม และรายบุคคล แต่มีกมธ.หลายคนบอกว่า ถ้าจะเดินคนละครึ่งทางอาจจะ 100 คน หรือ 125 คน มาจากเขตเลือกตั้งจังหวัด และ 75 คน เป็นเขตเลือกตั้งประเทศ ซึ่ง ส.ส.ร.ต้องมีความหลากหลาย นายสมคิด กล่าวต่อว่า ในส่วนของนายอุดม ได้ชี้แจงเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลในฐานะผู้ที่เคยยกร่างรัฐธรรมนูญมาก่อน ซึ่งมีคำถามหลายคำถามว่าสามารถร่างรัฐธรรมนูญแตะหมวด1หมวด2 ได้หรือไม่ ซึ่งในร่างของรัฐบาลและฝ่ายค้านไม่มีเรื่องนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม กมธ.จะเร่งรัดการประชุมเพื่อให้ทันกรอบเวลา โดยการประชุมในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ จะเป็นการพิจารณาเข้ารายมาตรา นายสมคิด กล่าวต่อว่า สำหรับผู้แปรญัตติซึ่งวันนี้ (3 ธ.ค.) เป็นการสุดท้าย ล่าสุดมีผู้ยื่นขอแปรญัตติมาแล้ว 95 คนแบ่งเป็นส.ว. 8 คน ส.ส.87 คน คาดว่าเมื่อสิ้นสุดเวลา 16.30 น.จะมีผู้ขอแปรญัตติเพิ่มเป็นหลักร้อยคน อยางไรก็ตามในส่วนของพรรคเพื่อไทย เนื้อหาที่แปรญัตติส่วนใหญ่ส.ส.ร.ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และเสียงที่ต้องโหวตควรเป็นเท่าไหร่ ซึ่งในร่างของรัฐบาล ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ส่วนขอพรรคเพื่อไทย เสนอว่าต้องใช้เสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา โดยคาดว่า กมธ.จะเชิญผู้แปรญัตติมาชี้แจงในสัปดาห์หน้าหรือสัปดาห์ถัดไป ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำร้องโต้แย้งของ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์นิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ฉบับที่ 29 /2557 เรื่องให้บุคคลมารายงานตัวตามคำสั่งคสช.และประกาศฉบับที่ 41/2557 เรื่องกำหนดให้การฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวเป็นความผิด โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าประกาศทั้งสองฉบับขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ว่า ตนยังไม่ได้เห็นคำวินิจฉัยดังกล่าว เห็นแต่จากข่าวที่สรุปเท่านั้น ซึ่งก็วินิจฉัยให้ประกาศ คสช.ทั้งสองฉบับใช้ไม่ได้ ซึ่งตอนที่ประกาศทั้งสองฉบับออกมานั้นใช้ได้ แต่พอมีรัฐธรรมนูญ 60 ออกมา จึงขัดกับรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นเมื่อขัดกับรัฐธรรมนูญประกาศจึงใช้ไม่ได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป เมื่อถามว่า จะมีผลย้อนหลังกับผู้ที่ถูกประกาศคสช.เรียกตัวในกรณีอื่นๆหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มี แต่จะมีผลตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญ 60 ประกาศใช้ ซึ่งคำสั่งออกตั้งแต่ปี 2557 และตอนนั้นไม่มีรัฐธรรมนูญจึงใช้ได้ แต่พอรัฐธรรมนูญออกมาก็ยังไม่มีใครวินิจฉัยว่าขัดหรือไม่ขัด แต่มาตอนนี้ วินิจฉัยว่าขัดจึงต้องขัดมาตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.60 ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญ 60 ประกาศใช้ ซึ่งก็ไม่มีผลอะไร เพราะไม่ได้กักขัง หรือเรียกตัวใครอยู่แล้ว เมื่อถามต่อว่า ช่วงหลังจากปี 60 ยังมีการเรียกบุคคลมารายงานตัวอีก นายวิษณุ กล่าวว่า มี เขาก็เรียกไปตามนั้น โดยคิดว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ตอนนี้ถือว่าขัดก็คือขัด เมื่อถามว่า ผู้ที่ถูกเรียกตัวจะสามารถฟ้องร้องย้อนหลังได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ไม่น่าจะได้ เพราะเจ้าหน้าที่ทำไปด้วยความที่เข้าใจว่าทำไปโดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะยังไม่มีคำวินิจฉัย ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามก็จะผิด แต่หากตอนนี้จะมีการดำเนินคดีกับใครก็ต้องหยุดทั้งหมด ซึ่งตนไม่แนใจว่ามีค้างอยู่อีกกี่ราย ด้าน นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจ ฉัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ไม่มีความผิด กรณีอยู่บ้านพักหลวง ว่า อยากให้ทุกฝ่ายเคารพคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะแกนนำพรรคก้าวไกล รวมทั้งคณะราษฏร ไม่ควรปลุกกระแสสร้างความขัดแย้งในสังคม ทุกฝ่ายต้องยอมรับคำวินิจฉัยของศาล อย่างไรก็ตาม อยากจะเตือนแกนนำคณะราษฏร ว่า ขอให้ระวังการละเมิดอำนาจศาล เพราะทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐานข้อเท็จจริง เพราะการที่แกนนำปราศรัยโจมตีศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการละเมิดอำนาจศาล และยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อโจมตีรัฐบาล โจมตีพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม “ผมขอให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฏหมายโดยเคร่งครัด บ้านเมือง มีขื่อมีแป ทุกคนอยู่ภายใต้กฏหมายเดียวกัน ใครทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษ ไม่ใช่มีมวลชนกลุ่มหนึ่ง แล้วทำตัวใหญ่คับเมือง ควรเห็นหัวของประชาชน ทั้งแผ่นดินบ้าง” ขณะที่ นางปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “ได้แจ้งความเพนกวิน ตามที่น้องเพนกวินได้โพสต์ข้อความที่ผิดกฎหมายทั้งหมด 4 โพสต์ พอเห็นแล้ว นอนไม่หลับ ต้องลุกมาแจ้งความ ในการดูหมิ่นศาลและเจ้าพนักงานอย่างชัดเจน ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อใน กทม.ห่วงใยหรือไม่ เนื่องจากยังมีการรวมตัวชุมนุมกันว่า ต้องไปถามผู้ชุมนุม เราไม่อยากให้ชุมนุม เมื่อถามว่า ยังมีการประกาศ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ จะใช้กฎหมายนี้ป้องกันโรคระบาดได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ช่วยไปบอกเขาหน่อย ว่ามี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ไม่ให้ชุมนุม” ขณะที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. เปิดเผยว่า วันนี้ได้นัดหมายกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือขอให้สอบหาข้อเท็จจริงตามที่ศาลรัฐธรรมนูญไว้วินิจฉัยว่าพล.อ.ประยุทธ์ ได้รับสิทธิอยู่บ้านพักรับรองรวมทั้งค่าไฟค่าน้ำ ตามระเบียบกองทัพบกไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดยจากคำวินิจฉัยดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้พล.อ.ประยุทธ์เข้าข่ายมีความผิดตาม พรป.ป.ป.ช. 2561 มาตรา 128 เพราะถือได้ว่ารับประโยชน์เกิน 3,000 บาท นายเรืองไกร กล่าวว่า ระเบียบกองทัพบกไม่ได้ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย และไม่พบในราชกิจจานุเบกษา จึงไม่อาจนำมาอ้างอิงกับกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 128 ได้ ดังนั้น เรื่องนี้ แม้พล.อ.ประยุทธ์รอดจากศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่น่าจะรอดความผิดฐานรับประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตามมาด้วย วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้โพสต์ข้อความ Thaksin Shinawatra จดหมายที่เขียนด้วยลายมือตนเองถึงพี่น้องชาวเชียงใหม่ ระบุว่า “ปี้น้องจาวเจียงใหม่ตี้เคารพฮักทุกท่านครับ วันนี้ผมต้องเขียนจดหมายมาถึงพี่น้องชาวเชียงใหม่เพื่อขออย่าได้ทิ้งผมนะครับ ผมอาจจะถูกทิ้งโดยนักการเมืองบางคนไปบ้าง ผมรู้สึกเฉยๆครับ แต่ถ้าพี่น้องชาวเชียงใหม่บ้านเกิดของผมทิ้งผม ผมคงเสียใจมาก ผมอยู่ต่างประเทศกับน้องสาว (นายกฯปู) ก็อยู่ค่อนข้างว่างมีงานไม่มาก เรามาปรึกษากันว่าวันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายค้านเราไม่มีโอกาสแชร์ประสบการณ์และความรู้ในการแก้ปัญหาประเทศได้ ก็เลยคิดว่าน่าจะช่วยคิดแก้ปัญหาระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะเชียงใหม่บ้านเกิดของเราที่เรารู้ปัญหามากที่สุดได้ เลยต้องรีบเขียนจดหมายมาฝากผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่เบอร์ 1 พิชัย เลิศพงศ์อดิศร (ก้อง) เพื่อผมจะได้ใช้สมองซึ่งยังใช้การได้ดีอยู่ร่วมกับน้องสาวแนะนำการแก้ปัญหาของชาวเชียงใหม่ผ่านก้องไป ผมก็จะรู้สึกดีว่าได้ใช้เวลาว่างอยู่ต่างประเทศบวกกับประสบการณ์ที่ได้เห็นอะไรมากมายในต่างประเทศมาช่วยคนที่อยู่จังหวัดบ้านเกิดของเราได้อยากให้ท่านนึกถึงตอนสมัยไทยรักไทย เชียงใหม่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สวยงาม มีเศรษฐกิจดี พืชผลเกษตรมีราคาดี คนค้าขายทุกระดับค้าง่ายขายคล่อง ยาเสพติดก็หมดไป สิ่งดีๆเหล่านี้ต้องกลับมาสู่เชียงใหม่โดยเร็ว ถ้าเรามีช่องทางเสนอความคิดให้นายกอบจ.เชียงใหม่ โดยเฉพาะให้ก้อง นำไปทำเพื่อรับใช้ชาวเชียงใหม่ก็ถือว่าเราได้ช่วยพี่น้องชาวเชียงใหม่บ้านเกิดของเราแล้ว ผมขอฝากตวยเน่อ ถ้ายัง บ่าลืมเฮาตึงสองคนเตื่อ ขอได้โปรดเลือก พิชัย เลิศพงศ์อดิศร (ก้อง) เบอร์ 1 ฮื้อกำเน่อกิ๊ดเติงหาเจียงใหม่บ้านเฮาขนาดครับ”