อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ชวนเที่ยวงานประเพณีไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติฯ และ พิธีขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำ ประจำปี 2563 พร้อมชมขบวนไหลแพไฟที่สวยงามสุดยิ่งใหญ่อลังการ 3 -5 ธันวาคม นี้
“ ประเพณีไหลเรือไฟเฉลิมพระเกียรติ ฯ และ พิธีขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำ “ หรือทีชาวบ้านเรียกว่า “ ลอยเรือไฟ ” หรือ “ล่องเรือไฟ “หรือ “ปล่อยเรือไฟ” เป็น พิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่นิยมทำกันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ( วันออกพรรษา ) โดยเฉพาะท้องถิ่นที่มีชัยภูมิเหมาะสม คือ มีแม่น้ำหรือลำน้ำ เท่าที่ปรากฏจะมีแนวทางที่คล้ายกันและอยู่บนพื้นฐานความเชื่อต่าง ๆ อาทิ ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชารอยพระพุทธบาท ความเชื่อเกี่ยวกับการบวงสรวงพระธาตุจุฬามณีบนสวรรค์ ความเชื่อเกี่ยวกับการขอฝน ความเชื่อในการเอาไฟเผาความทุกข์ ความเชื่อเกี่ยวกับการขอขมาและระลึกถึงพระคุณพระแม่คงคา เป็นต้น เรือไฟในสมัยโบราณนั้นมีรูปแบบที่เรียบง่าย โดยทำจากต้นกล้วยและลำไม้ไผ่ที่หาได้มาจัดทำเป็นโครงเรือไฟง่าย ๆ พอที่จะทำให้ลอยน้ำได้ การประดับตกแต่งเรือไฟภายในเรือไฟจะประดับด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ตะเกียง ขี้ไต้ สำหรับจุดให้สว่างไสว ก่อนจะปล่อยเรือไฟลงกลางลำน้ำ ปัจจุบันได้จัดทำเรือไฟรูปแบบต่าง ๆ โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาใช้ประกอบในการจัดทำ และ ประดับตกแต่งให้วิจิตรตระการตามากยิ่งขึ้น เมื่อปล่อยเรือไฟเหล่านี้ลงกลางลำน้ำภายหลังการจุดไฟให้ลุกโชติช่วง แล้วจะเป็นภาพที่งดงามและติดตาตรึงใจตลอดไป
“ งานประเพณีไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติและพิธีขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำ ได้เริ่มครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2541 สมัยนายสมชาย หถยะสันติ นายอำเภอตรอนในขณะนั้น ได้มีความคิดว่าอำเภอตรอนยังไม่มีประเพณีใหญ่ที่จัดได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวได้ อีกทั้งอำเภอตรอน มีพื้นที่ในการทำนาและพืชผลไม้ต่างๆ มากมายจึงรวมกับหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้จัดให้มีประเพณีไหลแพไฟขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วโรกาส ทรงมีพระชนมพรรษาขึ้น 6 รอบ โดยครั้งแรกมีเพียงแพรูปจำลองเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ และแพประกอบแรก หนึ่งแพเท่านั้นปรากฏว่า ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก มีผู้ชมในจังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดใกล้เคียงมาชมกันเป็นจำนวนมาก “
ด้านนายสกุลไชย จูมทอง นายอำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า เพื่อเฉลิมพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระ บรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “ พ่อแห่งแผ่นดิน” จังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)อุตรดิตถ์ อำเภอตรอน ประกอบด้วย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ทั้ง 5 ตำบล 7 อปท. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ ประชาชนทุกหมู่บ้านในพื้นที่อำเภอตรอน ได้ร่วมกันจัดงานประเพณีไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติฯและพิธีขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 5 ธันวาคม ของทุกปี ณ ท่าน้ำบริเวณพื้นที่ติดลำน้ำน่านในเขตอำเภอตรอน ซึ่งเป็นงานประเพณีที่จัดสืบทอดกันมาเป็นปีที่ 22 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดอุตรดิตถ์ให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
ภายในงานจัดให้มีการแสดงทางวัฒนธรรมลานถนนสายวัฒนธรรมวิถีลาวเวียงขององค์การบริหารส่วนตำบลหาด(อบต.)สองแคว พิธีขอบคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำเพื่อตอบแทนบุญคุณพืชพันธุ์ธัญญาหารและสายน้ำน่าน ที่ยังความอุดมสมบูรณ์ให้ประชาชนได้ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม เนื่องจากมีแม่น้ำน่านไหลผ่านซึ่งเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงประชาชนชาวอำเภอตรอนมาโดยตลอด ในวันที่ 5 ธันวาคม ยังจัดพิธีถวายราชสักการะ ชมกระทงสายที่ไหลล่องตามล้ำน้ำน่าน ชมขบวนแพไฟเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 7 หลัง ได้แก่ แพหลังที่ 1 “ เอกองค์อมรินทร์ “ (ทต.บ้านแก่ง) แพนำร่อง , แพหลังที่ 2 “นวมินทร์มหาราช " (ทต.ตรอน) แพประธาน , แพหลังที่ 3 “ปราชญ์แห่งแผ่นดิน” (อบต.วังแดง) , แพหลังที่ 4 “ อัครศิลปิน” (อบต.น้ำอ่าง) , แพหลังที่ 5 “ภูมินทร์ภัทรราชัน” (อบต.ข่อยสูง) , แพหลังที่ 6 “ คุ้มเกล้าประชาสุขสันต์ “ (อบต.บ้านแก่ง) และ แพหลังที่ 7 “ ราชันแห่งราชา “ (อบต.หาดสองแคว)
สำหรับเส้นทางไหลแพไฟเฉลิมพระเกียรติ ฯ ที่พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ จะได้ชมการไหลแพไฟที่สวยงามตลอดสายน้ำ ออกจากท่าน้ำวัดวังแดง 3 ตั้งแต่เวลาประมาณ 18.09 น. ผ่านลานเอนกประสงค์เทศบาลตำบลตรอน ผ่านท่าน้ำองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแก่ง ผ่านลานเอนกประสงค์เทศบาลตำบลบ้านแก่งและสิ้นสุดที่ท่าน้ำวัดหาดสองแคว ซึ่งเป็นจุดที่สวยงามที่สุดบริเวณคุ้งน้ำและจุดสิ้นสุดของขบวนแพฯ รวมระยะทาง 10 กิโลเมตร ใช้เวลาในการล่องแพ 3 ชั่วโมง ตลอดสองฝั่งจะมีประชาชนเข้าร่วมชมความสวยงาม ยิ่งใหญ่อลังการเพิ่มขึ้นมากทุกปี พร้อมร่วมชมพลุเฉลิมพระเกียรติฯอย่างสวยงามสมพระเกียรติ สร้างความสุข ความภาคภูมิใจ และ สร้างรายได้ให้กับประชาชนและชุมชนเพิ่มมากขึ้น.




