บอร์ด GUNKUL ไฟเขียวเข้าซื้อหุ้น บริษัท Doan Son Thuy Investment JSC (DST) สัดส่วน 100% คิดเป็นมูลค่า 1,258.58 ล้านบาท ครองสิทธิ์โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มเวียดนามกำลังการผลิตรวม 50 เมกะวัตต์ หนุนกำไรต่อปีเพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท “โศภชา ดำรงปิยวุฒิ “ระบุการซื้อหุ้น DST ครั้งนี้หนุนการเติบโตในอนาคตทั้งด้านทรัพย์สิน ผลกำไร และสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ถือหุ้น ที่สำคัญทำให้บริษัทฯมีกำลังผลิตไฟฟ้าสะสมเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มั่นใจนับจากนี้ภาพรวมธุรกิจ GUNKUL เติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร น.ส.โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติให้บริษัทฯเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท Doan Son Thuy Investment JSC (DST)สัดส่วน 100% ซึ่งจัดตั้งขึ้นในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Phong Dien ll กำลังการผลิตรวม 50 เมกะวัตต์ที่เมือง Hue มูลค่าการลงทุนโครงการ 1,258,582,550 บาท โดยมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff ที่ 0.0709 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 20 ปี โดยมีกำหนดจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ในวันที่ 15 ธันวาคม 2563 โดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท DST มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นอกจากเป็นการขยายฐานการดำเนินงานของบริษัทฯในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วยังเป็นการส่งเสริมการเติบโตทั้งในด้านสินทรัพย์และผลประกอบการของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของบริษัทฯที่จะขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯเล็งเห็นว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ ความเสี่ยงจากการดำเนินงานต่ำ ตลอดจนสามารถสร้างแหล่งที่มาของรายได้ให้แก่กลุ่มบริษัทฯได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องในระยะยาว ส่งผลให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้จากโครงการต่อปีประมาณ 150 ล้านบาท โดยมี EBITDA ต่อปีประมาณ 120 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 20 ปี โดยเงินลงทุนนำมาจากการกู้ยืมสถาบันและเงินลงทุนของบริษัทฯบางส่วน “คณะกรรมการบริษัทฯได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เวียดนามเป็นการปฏิบัติตามนโยบายส่งเสริมให้บริษัทฯก้าวสู่ความเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเมื่อได้ประเมินถึงพื้นที่ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ผลตอบแทนการลงทุน ผลการเข้าศึกษาทางด้านเทคนิค กฎหมาย บัญชีและการเงินแล้วเห็นว่าโครงการมีศักยภาพในการประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์ โดยส่งเสริมให้บริษัทฯมีอัตราการเติบโตทั้งทรัพย์สินและผลกำไรให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ที่สำคัญทำให้บริษัทฯมีจำนวนเมกะวัตต์สะสมเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ และยังมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการเจรจา คาดว่าน่าจะจบได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ อีก 1 โครงการ โดยปี 2563 รายได้และกำไรบริษัทฯยังคงเป้าตามที่ตั้งไว้”