"พ่อเมืองเชียงราย" หวั่น "สาววัย29" ติดเชื้อไวรัส-19ทำปชช.ตื่นตระหนก สั่งคุมเข้มชายแดนป้อง "ต่าง ด้าว" ลักลอบเข้าประเทศ "ผบช.ภ.5" จ่อฟันเมินกักตัว14วัน ตามกฎหมาย ด้าน "บิ๊กตู่"กำชับทุกจังหวัดติดชายแดนเฝ้าระวังป้องกันพวกลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เตือนใครมีเอี่ยวดำเนินคดีไม่มีละเว้น ขณะที่"ศบค."พบผู้ติดเชื้อเข้าไทยอีก 11 ราย เป็นคนไทย 7มาจาก 9 ประเทศ ส่วนทั่วโลกยอดป่วยพุ่งไม่หยุดทะลุเกิน 62 ล้านคน ความคืบหน้าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19เป็นหญิงสาวอายุ 29 ปี โดยมีประวัติลักลอบข้ามชายแดนจากอ.แม่สาย จ.เชียงใหม่ ไปยังจ.ท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และพบว่ามีผู้สัมผัสผู้ป่วย จำนวน 306 ราย จากการ ท่องราตรี และออกนอกที่พักอาศัย โดยพบผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง จำนวน 85 ราย และได้รับการตรวจหาเชื้อจำนวน 102 ราย ทราบผลการตรวจ17 ราย เป็นลบทั้งหมด โดยผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงที่ไม่มีอาการจะต้องกักตัวทุกคน ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 พ.ย.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล. อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้กำชับผู้ว่าณทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนไทยที่ติดประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น เมียนมา กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ให้เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมบูรณาการทุกภาคส่วนติดตามการลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายอย่างเร่งด่วน หลังพบว่ามีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านลักลอบเดินทางเข้ามายังประเทศไทย เนื่องจากก่อให้เกิดความกังวลในความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19และยังกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่ถ้าพบเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการลักลอบเข้าเมือง ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่มีละเว้น เพื่อสร้างความมั่นใจต่อประชาชน ว่าแนวทางการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของไทยมีความรัดกุม ปลอดภัย และไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้าน นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผวจ.เชียงราย ได้เรียกประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.เชียงราย และศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค(ศปก.) เพื่อสรุปข้อมูลและเกรงว่าจะทำให้ประชาชนในพื้นที่ตื่นตระหนก ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ชายแดน ต่างเข้มงวดป้องกันการลักลอบเข้ามาของชาวต่างด้าวอย่างเต็มที่ ส่วน พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่า เบื้องต้นทราบว่าหญิงดังกล่าวเข้ามาช่องทาง จ.เชียงราย ไม่ผ่านการตรวจโรคและกักตัว 14 วัน ตามกฎหมาย ซึ่งได้กำชับให้ ผบก.เชียงราย และผบก.เชียงใหม่ ตรวจสอบหาข้อมูลว่า เข้ามาได้อย่างไร ผ่านจุดใดทำไมเข้ามา โดยไม่ผ่านการตรวจโรค และกักตัว ซึ่งหากลักลอบเข้ามาก็ต้องถูกดำเนินคดีข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และดู พ.ร.บ.สาธารณสุข ด้วยว่าผิดกฎหมายข้อใดอีกบ้าง ขณะที่ ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ได้รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย โดยล่าสุดได้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 11 ราย โดยเป็นคนไทย 7 ราย เดินทางมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา 1 ราย ลิเบีย 2 ราย โมซัมบิก 1 ราย อิตาลี 1 ราย ฝรั่งเศส 1 ราย ปากีสถาน 1 ราย เกาหลีใต้ 2 ราย โอมาน 1 ราย และคูเวต 1 ราย ทั้งหมดอยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ และเข้ารับการรักษาแล้ว รวมยอดผู้ป่วยสะสม 3,977 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดเสียชีวิตอยู่ที่ 60 ราย รักษาหายเพิ่มอีก 2 ราย รวมยอดผู้ป่วยรักษาหาย 3,800 ราย และยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีก 117 ราย สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ทางการของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างพากันบรรลุข้อตกลงจัดซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานข่าวแจ้งว่า นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน นายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย เปิดเผยถึงความคืบหน้าข้างต้น โดยระบุว่า รัฐบาลของเขาได้ทำข้อตกลงจัดซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ จากไฟเซอร์ บริษัทยาและเวชภัณฑ์สัญชาติสหรัฐฯ จำนวน 12.8 ล้านโดส ซึ่งในข้อตกลงดังกล่าว กำหนดให้ทางไฟเซอร์ ส่งมอบวัคซีนจำนวน 1 ล้านโดสแรกภายในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ก่อนทยอยนำส่งวัคซีนจำนวนที่เหลือตามมาในแต่ละไตรมาสของปี 2021 (พ.ศ. 2564) จนครบจำนวนที่สั่งซื้อไว้ รายงานข่าวเผยว่า วัคซีนที่จัดซื้อดังกล่าว ทางการมาเลเซียจะใช้ฉีดให้แก่ประชาชนจำนวน 6.4 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ควบคู่ไปกับวัคซีนที่ได้รับจากโครงการโคแว็กซ์ (Covax) ขององค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ (ฮู) ให้แก่ประชากรอีกจำนวนร้อยละ 10 ส่วนกลุ่มประชากรที่จะได้รับการฉีดวัคซีนในลำดับต้นๆ ทางการมาเลเซีย เปิดเผยว่า ได้แก่ ประชากรกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ทำงานอยู่แถวหน้าในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ เช่น แพทย์ พยาบาล นอกจากนี้ ยังมีผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ อาทิ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ทางการอินโดนีเซีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ได้ลงนามในข้ตกลงจัดซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ จากบริษัทยาและเวชภัณฑ์ จำนวนถึง 4 แห่ง ได้แก่ ซิโนแวคไบโอเทคของจีน แอสตราเซเนกาของอังกฤษ เป็นต้น โดยมีรายงานว่า เฉพาะวัคซีนของแอสตราเซเนกา จะจัดส่งให้จำนวนถึง 100 ล้านโดส ภายในปีหน้า ขณะที่ สถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ใน 218 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นจำนวน 62,573,188 ราย ผู้ป่วยที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,458,305 ราย และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายมีจำนวนสะสม 43,193,992 ราย โดยประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยสะสมสูงสุด เป็นอันดับ 1 จำนวน 13,610,357 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 272,254 ราย