ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
บรรเจิดมักชอบทำอะไรสุ่มเสี่ยงและเป็นอันตรายต่ออาชีพนักการข่าวอยู่บ่อย ๆ
นักการข่าว “มือใหม่” อย่างพวกเราจะถูกสอนให้ระมัดระวังในการเปิดเผยตัวอย่างเข้มงวด ทุก ๆ วันประมาณบ่ายสามโมง พวกเราต้องทำหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ “การส่งข่าวสาร” ในระบบการทำงานที่คนสมัยนี้คงคิดว่า “โบราณมาก ๆ” นั่นก็คือนั่งรถของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (ย่อว่า สขช.) เอาเอกสารที่เป็นการสรุปข่าวด้านความมั่นคงที่สำคัญไปส่งยังหน่วยราชการและบ้านของผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคงหลายคน ซึ่งผมกับบรรเจิดต้องจับคู่กันไปส่งข่าวสารนั้นสัปดาห์ละ 1 วัน สายส่งของเราสองคนเริ่มจากกองทัพภาคที่ 1 ที่อยู่ใกล้สำนักงานของ สขช.ที่สุด จากนั้นไปส่งที่กองบัญชาการทหารสูงสุดที่สวนรื่นฤดี และหน่วยงานทหารอีก 3 แห่ง ก่อนที่จะไปบ้านพักของ “ผู้ใหญ่” อีก 4 แห่ง โดยไปสิ้นสุดที่บ้านนายตำรวจใหญ่แถวสุทธิสาร ประมาณ 6 โมงเย็นก็จบภารกิจ แล้วกลับมาลงเวลาพร้อมรายงานผลการปฏิบัติงานที่ สขช. แล้วจึงกลับบ้านได้
วันหนึ่งที่บ้านนายตำรวจใหญ่จุดหมายสุดท้ายของเรา ตำรวจเวรที่เฝ้าหน้าบ้านและคอยรับเอกสารคงไปทำธุระอะไรสักอย่าง พอเรากดออดอยู่หลายครั้งก็มีชายผมเกรียนรูปร่างอ้วนพลุ้ย ใส่เสื้อยืดคอกลมและกางเกงสีกากีเดินออกมารับเอกสารแทน บรรเจิดก็ยกมือไหว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “สวัสดีครับคุณอา” ชายคนนั้นก็ยกมือขึ้นรับไหว้แค่เอว แล้วซักไซ้บรรเจิดว่าเป็นลูกใครหรือ พอทราบว่าเป็นลูกใครก็หัวเราะออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พร้อมกับตำหนิบรรเจิดว่าถ้ายังอยู่ในช่วงเวลาการทำราชการ ห้ามไปบอกว่าเราเป็นลูกท่านหลานใคร ทำให้เราสองคนงวยงงแล้วยกมือไหว้ท่านก่อนที่จะออกมาขึ้นรถ
อีกครั้งหนึ่งในการ “นอนเวร” ซึ่งก็คือการอยู่เฝ้าสถานที่ทำงานหลังเวลาราชการ ที่เราจะต้องผลัดเวรกันมานอนเฝ้าอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง (เฉพาะนักการข่าวผู้ชายทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ใหม่และเจ้าหน้าที่อาวุโส) ห้องนอนของเราก็คือตรงเรือนพักที่ปลูกแนบรั้วกำแพงใกล้ทางเข้า สขช. ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ ตรงถนนพิษณุโลก ความจริงก็ไม่ใช่งานที่ยากลำบากอะไร เพราะแค่นอนให้ข้ามคืน ถ้ามีเหตุด่วนเหตุร้ายอะไรก็จะมีเจ้าหน้าที่อีกแผนกหนึ่งเป็นผู้จัดการดูแล เพียงแต่อาจจะน่าเบื่อและนอนไม่หลับ เพราะจะมีรถวิ่งอยู่ข้างหูเราตลอดคืน บรรเจิดก็นอนไม่ค่อยหลับ มีคืนหนึ่งเขามานั่งโทรศัพท์ไปคุยกับเพื่อน(สมัยนั้นไม่มีมือถือหรือโทรศัพท์ส่วนตัว ต้องใช้โทรศัพท์ของที่ทำงานเท่านั้น) สักครู่หนึ่งพี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เดินเข้ามา แล้วตักเตือนว่าห้ามใช้โทรศัพท์คุยเรื่องส่วนตัวในเวลาราชการ ซึ่งก็รวมถึงเวลาที่มานอนเวรนี้ด้วย ทั้งนี้โดยปกติเราก็ไม่เคยใช้โทรศัพท์ในเวลาทำงานอยู่แล้ว เพราะจะมีระเบียบเขียนไว้ข้างโทรศัพท์นั้นเลยว่า “ห้ามใช้ในเรื่องส่วนตัว” และหากจะคุยเวลาที่ประสานงานในเวลาราชการ ก็ต้องระมัดระวังไม่พูดในเรื่องของ “ความลับ” หรือรายละเอียดในงานที่ทำ ถ้าจะคุยก็ต้องมีโค้ดหรือรหัสตามที่ตกลงกัน จากกรณีที่บรรเจิดถูกจับได้ในครั้งนั้น ทำให้เรารู้ว่าที่นี่ก็มีการแอบฟังโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ทุกคน ซึ่งทุกคนต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ในปลายปี 2529 มีกำหนดการว่านายกรัฐมนตรีราจีฟ คานธี ของอินเดียจะเดินทางมาเป็นแขกของรัฐบาลไทย (ราจีฟเป็นบุตรของนางอินธิรา คานธี นายกรัฐมนตรีที่ถูกตำรวจรักษาความปลอดภัยชาวซิกข์สังหารเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยจึงต้องเข้มงวดมาก เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างชาวซิกข์กับชาวฮินดูในอินเดียยังรุนแรงมาก) รัฐบาลได้มอบภารกิจให้ สขช.ดำเนินการด้านการข่าวอย่าง “สูงสุด” พวกเราข้าราชการใหม่ก็ได้รับการยกระดับชั้นความลับ จากพวก “บัตรเหลือง” สู่ระดับ “บัตรน้ำเงิน” (ที่ สขช.ระดับสูงสุดคือ “บัตรแดง”) เพราะต้องไปร่วมปฏิบัติงานอัน “ลับสุดยอด” นี้
ผมจับคู่กับบรรเจิดเช่นเคย งานชิ้นแรกของพวกเราคือการหาข่าวเกี่ยวกับชุมชนชาวซิกข์ทุกแห่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมี 2 ที่หลัก ๆ คือ สมาคมชาวซิกข์ที่ซอยทองหล่อ กับคุรุสิงห์สภาที่พาหุรัด เราต้องไปทำแผนที่เส้นทางเข้าออกและสถานที่รายรอบของอาคารทั้งสองแห่งนั้น จากนั้นเอาชื่อ “หัวหน้า” คนสำคัญ ๆ ของชาวซิกข์มาจัดทำรายละเอียด เช่น ประวัติบุคคล และความเคลื่อนไหว รวมถึงการเดินทางเข้าออกประเทศของชาวซิกข์ที่น่าสงสัย โดยเราต้องไปติดตามดูที่สนามบินดอนเมือง และตามสถานที่ที่พักของคนเหล่านั้น ทั้งนี้ที่ สขช.ก็มีการแบ่งงานกันทำเป็นกลุ่ม ๆ ร่วมกันกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่น ๆ ได้แก่ สันติบาลของตำรวจ และศูนย์รักษาความปลอดภัยของกระทรวงกลาโหม รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดจนหน่วยข่าวกรองของต่างประเทศและสถานทูตอินเดียนั้นด้วย เพื่อนที่ สขช.บางคนได้ไป “เฝ้าระวัง” ที่โรงแรมเอราวัณอันเป็นที่พักของราจีฟ ที่นั่นต้องมีการ “เก็บกวาด” อย่างละเอียด ทั้งระบบสื่อสาร การดักฟัง และอาหารการกิน ตลอดจนตรวจประวัติเจ้าหน้าที่และพนักงานของโรงแรมทุกคน บางส่วนก็ใช้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปทำงานแทน แม้กระทั่งคนที่จะเข้าพบหรือของฝากของขวัญก็ต้องมีการตรวจตราเสียก่อน แทบว่าจะไม่ได้หลับได้นอน เพราะต้องลงลึกทุกรายละเอียดเหล่านั้น
ก่อนหน้าสักสามวันที่ราจีฟจะลงเครื่องบิน ผมกับบรรเจิดไปเช่าห้องพักแถวสะพานพุทธใกล้ ๆ ปากคลองตลาด แล้วออกเดินทางไปดู “ความผิดปกติ” แถวพาหุรัดทุกวัน เย็นวันแรกก็เกิดเรื่อง คือบรรเจิดไปซื้อขนมปังที่ร้านเบเกอรีแห่งหนึ่งแล้วเผลอพูดว่าต้องตุนไว้เยอะ ๆ เพราะจะต้องอยู่ที่นี่หลายวัน พอมาถึงที่พักก็ถูกตำรวจสันติบาลขอตรวจค้น พอทราบว่าเรามาจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติเขาก็ขอโทษ แล้วบอกว่ามีคนรายงานว่ามีคนมาซื้ออาหารกักตุน ก็ทำให้คิดไปว่าน่าจะเป็นพวกที่มาทำการไม่ดีอะไรหรือไม่ จึงต้องมาตรวจค้นดังกล่าว คืนนั้นบรรเจิดนอนหัวเราะอยู่นาน ก่อนที่จะบ่นขึ้นว่า “หน้าตาอย่าตูนี่นะเป็นผู้ก่อการร้าย ฮ่าๆๆ”
รุ่งขึ้นผมกับบรรเจิดมานั่งคุยกันว่า “เราคงไม่เหมาะกับงานเจมส์ บอนด์นี่เสียแล้ว”