โดย พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี) FSA, FIA, FSAT, FRM - นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย ทราบไหมครับว่าตอนนี้บริษัทประกันภัยโดยเฉพาะนักคณิตศาสตร์ประกันภัยและนักบัญชีกำลังตื่นตัวกันทั่วโลกกับมาตรฐานการรายงานทางการเงินตัวใหม่แกะกล่อง (ที่มีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกถกเถียงกันมาเกือบ 20 ปี) เกี่ยวกับเรื่อง “สัญญาประกันภัย” ว่าควรจะจัดประเภทอย่างไร วัดมูลค่าอย่างไร หรือเปิดเผยข้อมูลอย่างไร ให้ดูเหมาะสมมากยิ่งขึ้น บางคนอาจจะถามดังๆ ในใจออกมาว่า “แล้วมาตรฐานตอนนี้มันไม่เหมาะสมหรือ?” ซึ่งถ้าจะฟันธงว่าไม่เหมาะสมนั้นก็คงจะไม่กล้า แต่เอาเป็นว่าเรามาทำความเข้าใจที่มาที่ไปว่าความเป็นมาอย่างไร และมีแนวคิดรวบยอดให้เรานำไปปฏิบัติอย่างไรบ้าง เริ่มต้นจาก? ก่อนอื่นต้องขออ้างถึงก่อนว่า มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับนี้เขียนโดยนักบัญชี ซึ่งมีจำนวนอยู่กว่า 300 หน้า ทำให้ภาษาส่วนใหญ่เป็นภาษาของนักบัญชี และจะเป็น principle base (ไม่ใช่ rule base อีกต่อไป) ทำให้การอ่านมาตรฐานฉบับนี้ ต้องอ่านด้วยดวงตาที่ 3 เพื่อตีความถึงหลักการที่ควรจะเป็น และการนำหลักการไปปฏิบัติอีกทีให้เหมาะสม ดังนั้น เวลาอ่านมาตรฐานฉบับนี้แล้ว ก็ควรจะพยายามทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ว่า “ทำไปเพื่ออะไร” ไปด้วยครับ เพราะมาตรฐานฉบับนี้เป็นการเปลี่ยนพื้นฐานและวิธีคิดของสัญญาประกันภัยทั้งหมด (เป็น fundamental change) เรียกว่าเป็น lifetime event ที่ 100 ปี จะมีการเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้หนนึง (ขนาดถกเถียงกันมาจนสรุปกันได้ ก็ใช้เวลาไปเกือบ 20 ปีไปแล้ว) ยิ่งเป็นทางฝั่งของธุรกิจประกันชีวิตก็จะมีผลกระทบมากๆ โดยการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอย่างแรกก็คือการรับรู้รายได้ที่จะลดลงไปมาก (แต่กำไรยังเท่าเดิม) และการเปลี่ยนวิธีรับรู้รายได้ ซึ่งทำให้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับเบี้ยประกันภัยทางฝั่งวินาศภัยได้ จึงไม่แปลกเลยว่า มาตรฐาน IFRS4 ของประเทศไทย (เรียกว่า TFRS4) นั้น มีความแตกต่างกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ค่อนข้างมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ วิธีการคำนวณสำรองทางคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ยังแปลกตาไม่เหมือนใคร นอกจากนี้แล้ว มาตรฐานการรายงานทางการเงิน เรื่องสัญญาประกันภัยในปัจจุบัน ยังทำให้เปรียบเทียบบริษัทประกันภัยด้วยกันเองยากอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบริษัทประกันชีวิตด้วยกันเอง ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกันเองได้ ด้วยนิยามเฉพาะของตัวเอง? รวมไปถึงการลงบัญชีต่างๆ ยังค่อนข้างแตกต่างกัน ซึ่งก็ยังผลให้เปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นไม่ได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทประกันชีวิต รับเบี้ยประกันชีวิต 1 ล้านบาท ถ้าจัดประเภทเป็นสัญญาประกันภัย (Insurance contract) แล้ว ก็สามารถจะนำตัวเลข 1 ล้านบาท ใส่เข้าไปในงบการเงินและรับรู้เป็นรายได้ทั้งก้อน แต่ถ้าเงิน 1 ล้านบาทนั้นไปถูกใส่ในธนาคารเป็นเงินฝากนั้น ธนาคาจะไม่สามารถนำตัวเลข 1 ล้านไปเป็นรายได้ แต่จะลงบัญชีได้เฉพาะค่าธรรมเนียมเท่านั้น และด้วยปรากฎการณ์แบบนี้เอง จึงทำให้การขายประกันผ่านทางธนาคารนั้นสามารถรับรู้ยอดขายได้ทั้งก้อน ซึ่งปรากฎให้เห็นเป็นข่าวอยู่เสมอว่ายอดขายพุ่ง และเติบโตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแบบประกันที่เน้นไปทางสะสมทรัพย์ ที่สามารถรับรู้ทางอ้อมในส่วนของเงินฝากไปเป็นรายรับด้วย (ต่างกับธนาคารจะไม่สามารถรับรู้เงินฝากที่ได้รับมา มาเป็นรายได้เลย เพราะอนุญาตให้นำค่าธรรมเนียมมาเป็นรายได้เท่านั้น) สรุปแล้ว เมื่อนำมาตรฐานตัวใหม่นี้มาใช้แล้ว งบการเงินของธุรกิจประกันชีวิต จะสามารถเปรียบเทียบกับธุรกิจประกันวินาศภัยได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ ได้อีกด้วย เริ่มเมื่อไร? ก่อนจะลงลึกไปกว่านี้ เรามามองว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้เริ่มเตรียมพร้อมกับมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับนี้อย่างไรบ้าง โดยมาตรฐานการรายงานทางการเงิน (IFRS) ต่างๆ ได้มีมติมาจาก IASB (International Accounting Standing Board) ซึ่งมาจากทวีปยุโรปเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ประเทศในแถบนี้ตื่นตัวกันมาก โดยตอนนี้มีข้อตกลงร่วมกันและได้เลื่อนวันเริ่มใช้จากวันที่ 1 มกราคม 2021 (พ.ศ. 2564) ไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2023 (พ.ศ. 2566) ส่วนในเอเชียเองนั้น ก็จะมี มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี ที่ได้ยินมาว่าจะเริ่มพร้อมๆ กับทางฝั่งยุโรป แถมประเทศจีนก็มีการแปลมาตรฐานฉบับนี้ในภาษาของเขาเองอีกด้วย ส่วนอินเดียนี่มาแรงและแปลกกว่าเพื่อน เพราะอยากจะประกาศใช้ก่อนเพื่อน ซึ่งหากทำได้จริง ประเทศอินเดียก็จะเป็นประเทศแรกของโลกเลยทีเดียว อีกประเทศที่ต้องจับตามองก็คือ สหรัฐอเมริกา ที่ไม่เอาด้วยกับ IFRS17 เลย แต่จะยังยึดถือมาตรฐานของเขาเอง ที่เรียกว่า US GAAP (General Accepted Accounting Principle) ที่อเมริกาเองใช้กันมานมนานครับ (เลยไม่ยอมเปลี่ยน แถมเคยประกาศออกมาว่าจะทำ US GAAP phase 2 ออกมาข่มอีก ซึ่งคนนำมาปฎิบัติคงสนุกกันน่าดูเลยครับ เพราะต้องเข้าใจทั้งสองมาตรฐานนี้ไปพร้อมๆ กัน) กลับมาที่ประเทศไทยกันดีกว่าครับ โดยของประเทศไทยนั้น จะใช้หลังจากที่คนอื่นใช้กัน 1 ปี ซึ่งก็คือ จะเริ่ม วันที่ 1 มกราคม 2024 (พ.ศ. 2567) แต่อย่าเพิ่งดีใจไปว่ามันยังอีกห่างไกล เพราะเวลาจะนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับใหม่มาใช้นั้น ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆ ก็โผล่ตัวเลขใหม่มาเลย มันจะต้องมีการเปรียบเทียบกับตัวเลขของงบการเงินในปีที่ผ่านมาด้วย (เพราะการดูตัวเลข ไม่ได้ดูที่ผลลัพธ์ในตอนนั้น แต่ต้องดูถึงการเปลี่ยนแปลงและทิศทางจากปีที่ผ่านมาด้วย นั่นจึงถือเป็นการอ่านงบการเงินที่แท้จริง) นั่นก็แปลว่า ถ้าจะต้องเริ่มใช้กันวันที่ 1 มกราคม 2024 นั้น เราจะต้องมีตัวเลขของปี 2023 มาให้เปรียบเทียบด้วย ซึ่งแปลความอีกทีว่า ประเทศไทยนั้นจะต้องทำตัวเลขงบการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินตัวนี้ ที่ ไตรมาส 1 ปี 2023 (พ.ศ. 2566) นั่นเอง ซึ่งก็ถือว่าเรามีเวลาให้เตรียมตัวไม่นานนัก ที่ปลายปี 2022 ควรจะต้องเตรียมพร้อมให้เสร็จ เพราะถ้าใครที่เป็นนักบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เคยนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินไม่ว่าจะฉบับไหนก็ตามมาปฏิบัติใช้ในตอนแรก ก็จะรู้เลยว่าเวลาที่เหลือให้เตรียมตัวนั้นผ่านไปไวมาก จนไม่ทำให้เรามีโอกาสได้เตรียมตัวเลย ราวกับกระพริบตาส่องกระจกแว๊บเดียว ไม่ทันได้เตรียมตัวอะไร ตีนกาก็ขึ้นซะละ #TFRS17 #IFRS17