"ประยุทธ์"เรียกถก"ทีมเศรษฐกิจ"เตรียมออกมาตรการต่อยอดโครงการยอดนิยมช่วยเหลือประชาชน หลังผลตอบรับดี ด้าน"นักธุรกิจต่างชาติ"ตบเท้าเข้าพบนายกฯวันนี้ "รมว.พลังงาน"ชี้นักลงทุน"สภาธุรกิจมะกัน-อาเซียน"สนใจลงทุนในประเทศไทย เตรียมชงข้อมูลถกร่วม เมื่อวันที่ 24 พ.ย.63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha" ระบุว่า "เช้านี้ผมได้ติดตามความคืบหน้าและหารือกับรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ และรมว.คลัง เพื่อกำหนดมาตรการใหม่ๆ ต่อยอดจากหลายโครงการที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เช่น โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน และเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น ก็ขอให้ทุกคนติดตามข่าวสารของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด จะได้เข้าถึงสวัสดิการอย่างถ้วนหน้า ทั่วถึง กันทุกคนนะครับ วันเดียวกัน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน เตรียมเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะดึงนักลงทุนจากต่างชาติเข้าประเทศ ล่าสุด สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (S&P) ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยเหมือนเดิม ทั้งแนวโน้มที่มองไปข้างหน้า และสถานการณ์ในปัจจุบัน และถือเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนมาเข้าพบ แสดงให้เห็นว่ามีความสนใจจะลงทุนในประเทศไทย ทั้งนี้ จากการหารือกับนักลงทุนบางส่วนเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการสอบถามหลายเรื่อง ซึ่งไทยยืนยันว่ามีความพร้อมและมีสิ่งดึงดูดความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากไทยมีการปรับเปลี่ยนในหลายด้าน และหากจำเป็นที่จะต้องหาบริษัทที่เป็นพันธมิตรในประเทศไทยก็มีบริษัทที่มีศักยภาพเป็นจำนวนมาก จึงขอให้นักลงทุนสบายใจ และไว้วางใจ โดยมีความพร้อมรับมือกับการลงทุนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมในไทยไม่ให้พึ่งพิงอุตสาหกรรมกลุ่มใดหนึ่ง ส่วนที่มีการนัดชุมนุมใหญ่ในช่วงเวลาเดียวกับที่นักลงทุนสหรัฐฯจะเข้าพบนายกฯนั้น เชื่อว่า นักลงทุนไม่ได้คำนึงถึงในประเด็นนี้ เพราะนักลงทุนจะพิจารณาจากการบริหารจัดการการชุมนุมของภาครัฐที่สามารถควบคุมและดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ อีกทั้งข้อเสนอของผู้ชุมนุม และการแสดงออกยังไม่มีลักษณะก้าวร้าว หรือสร้างความเสียหายให้กับการลงทุนมากนัก แต่ทั้งนี้ต้องระมัดระวัง เพราะแม้ผู้ชุมนุมจะมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมายในการดูแลการชุมนุม เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนจับตามองในขณะนี้