กลุ่มผู้ประกอบการใช้ฟอยล์อะลูมิเนียมตามรอยฟิล์มบีโอพีพี เตรียมยื่น “พาณิชย์” พิจารณาการใช้มาตรการเซฟการ์ดอย่างรอบคอบ เหตุอุตสาหกรรมที่ใช้จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก และมีผลกระทบทำให้สินค้าหลายรายการ มีต้นทุนเพิ่มขึ้น จนอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้าจนผู้บริโภคเดือดร้อน ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า กลุ่มผู้ประกอบการที่ใช้ฟอยล์อะลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบ ได้มีการหารือและเตรียมการที่จะยื่นเรื่องต่อกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอให้พิจารณากรณีการเปิดไต่สวนมาตรการปกป้องจากการนำเข้า หรือเซฟการ์ด สินค้าฟอยล์อะลูมิเนียมจากต่างประเทศ เพราะอุตสาหกรรมที่ใช้ฟอยล์อะลูมิเนียมและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องจะได้รับผลกระทบ ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ไม่ต่างจากกรณีการเปิดไต่สวนการทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าฟิล์มบีโอพีพี สำหรับอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบได้แก่ บรรจุภัณฑ์ ฝาปิดขวด อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำความเย็น และอะไหล่รถยนต์ เป็นต้น ส่วนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่จะได้รับผลกระทบได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ยาและเวชภัณฑ์ ของใช้ส่วนบุคคล ของใช้ในครัวเรือน ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์และอื่นๆ เป็นต้น ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ประกอบการที่ใช้ฟอยล์อะลูมิเนียม เห็นว่า ผู้ประกอบการในประเทศที่ยื่นขอให้ใช้มาตรการเซฟการ์ด มีกำลังการผลิตได้ไม่เกินปีละ 40,000 ตัน แต่มีความต้องการใช้ในประเทศสูงถึง 110,000 ตัน ทำให้ต้องนำเข้าไม่ต่ำกว่า 70,000 ตัน หากมีการใช้มาตรการเซฟการ์ด จะทำให้ผู้ประกอบการที่ใช้ได้รับผลกระทบทันที เพราะต้นทุนจะสูงขึ้น ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น ส่งออกได้ยากขึ้น และยังส่งผลกระทบทำให้ต้องปรับขึ้นราคาสินค้าจนกระทบต่อผู้บริโภคได้ นอกจากนี้ผู้ผลิตในประเทศยังมีข้อจำกัดเรื่องความสามารถในการผลิตที่ตรงตามที่ลูกค้าต้องการ ทั้งระดับความหนาและความกว้าง และมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ เพราะต้องนำเข้าวัตถุดิบคือ อะลูมิเนียมอินกอต มาผลิต หากมีการนำเข้าวัตถุดิบล่าช้า หรือเกิดการชะงักของการผลิตก็จะทำให้ผู้ใช้ไม่มีฟอยล์อะลูมิเนียมมาใช้ในอุตสาหกรรม และหากมีการใช้มาตรการเซฟการ์ด ก็จะทำให้ต้นทุนที่ผู้ประกอบการต้องนำเข้าสูงขึ้นตามไปด้วย จึงขอคัดค้านการใช้มาตรการ