นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต เปิดเผยถึงสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า และมาตรการล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า มาตรการสกัดการแข็งค่าเงินบาทด้วยการผ่อนคลายและเปิดเสรีการไหลออกของเงินทุนเพิ่มเติม เป็นมาตรการที่มีความเหมาะสม แต่ไม่มีผลในระยะสั้น เป็นเพียงส่งสัญญาณว่าแบงก์ชาติห่วงใยต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่ามากและเร็วเกินไป มาตรการเหล่านี้จะส่งผลต่อการชะลอตัวการแข็งค่าของเงินบาทได้ระดับหนึ่งเท่านั้น            อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพื่อเปิดเสรีการไหลออกของเงินทุนมากขึ้นดังกล่าว อาจไม่เพียงพอต่อการรับมือกระแสเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นเก็งกำไรที่เคลื่อนย้ายมายังภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงไตรมาสหนึ่งปีหน้า            โดยขณะนี้และในระยะต่อไป นักลงทุนต่างชาติและกองทุนต่างๆยังโยกเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรระยะสั้น และไม่มีประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน หรือทำ Open position เอาไว้ สะท้อนว่านักลงทุนสถาบันเหล่านี้ และนักเก็งกำไร ยังคงคาดการณ์ว่าเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังสูงกว่าหลายประเทศ            ทั้งนี้ประเมิน 3 มาตรการ ที่ธปท.ออกมาสกัดเงินบาทแข็งค่านั้น มาตรการแรก ให้คนไทยฝากเงินตราต่างประเทศและโอนเงินระหว่างบัญชี FCD มาตรการที่สอง เพิ่มวงเงินสำหรับการลงทุนในต่างประเทศและเปิดให้นำหลักทรัพย์ต่างประเทศมาซื้อขายในไทยได้โดยไม่จำกัดวงเงิน มาตรการที่สาม ให้นักลงทุนต่างชาติแสดงตัวก่อนการซื้อขายตราสารหนี้ ทั้ง 3 มาตรการยังเป็นมาตรการที่อยู่ในกรอบหรือทิศทางการเปิดเสรีทางการเงินอยู่ และมีความจำเป็นที่ทางการต้องติดตามตรวจสอบธุรกรรมการเคลื่อนย้ายเงินทุนเก็งกำไรที่มีมากกว่าปกติด้วย            สำหรับทั้ง 3 มาตรการจะมีผลต่อการสกัดกั้นการแข็งค่าเงินบาทได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากโอกาสที่เงินจะไหลออกไปลงทุนในต่างประเทศมีไม่มาก เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องสถานะทางการเงินโดยรวมของบุคคลและนิติบุคคลสัญชาติไทย แต่ทำให้คนไทยและผู้ประกอบการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนและรายได้เงินสกุลต่างประเทศได้คล่องตัวขึ้น และน่าจะทำให้ทางการสามารถติดตามธุรกรรมที่ผิดปรกติได้ง่ายขึ้นบ้าง            "หากไม่มีมาตรการเพื่อบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม มีโอกาสมากขึ้นที่ปลายปีนี้ หรือไตรมาสแรกปีหน้า เงินบาทอาจจะหลุดระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ โดยอาจจะได้เห็นเงินบาทที่ระดับ 28-29 บาท/ดอลลาร์ได้ โดยที่อาจจำเป็นต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาดการเงินโลก"            นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า หากพิจารณาแทรกแซงตลาดเงินบาทด้วยมาตรการการดำเนินการผ่านตลาดการเงิน Open Market Operation (OMO) ซื้อเงินดอลลาร์และขายเงินบาทเข้ามาในระบบ หากจะใช้ Open Market Operation ต้องไม่ดูดซับเงินบาทกลับจะมีประสิทธิผลมากกว่าในการทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่การใช้ มาตรการ Open Market Operation จะเพิ่มการขาดทุนทางบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอีก จากที่ขาดทุนสะสมอยู่แล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท ภาวะการขาดทุนของธนาคารกลางไม่ใช่ปัญหา ตราบเท่าที่ผลการขาดทุนไม่ได้กระทบศักยภาพในการปฏิบัติงานตามพันธกิจ โดยเฉพาะการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงิน และตลาดการเงินมีความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของธนาคารกลางอยู่            อย่างไรก็ตามการใช้ OMO ต้องทำอย่างสมดุลและอย่างเท่าทันต่อตลาดการเงินโลก เพื่อไม่ให้สหรัฐอเมริกากล่าวหาว่า ไทยบิดเบือนค่าเงินเพื่อเอาเปรียบทางการค้า (Currency manipulator for unfair trade) ซึ่งปัจจุบันไทยเข้าเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อของการบิดเบือนค่าเงินที่สหรัฐฯสามารถตอบโต้ทางการค้าได้อยู่แล้ว ทั้งเกินดุลการค้าสหรัฐฯมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (12 เดือนที่ผ่านมาไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯประมาณ 22,371 ล้านดอลลาร์) นอกจากนี้ ไทยยังมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเกิน 3% ของ GDP (ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดกว่า 7% เมื่อปีที่แล้ว) รวมทั้งไทยยังมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 2% ของ GDP            นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า การลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นของนักลงทุนต่างชาตินั้น เป็นเรื่องปกติในระบบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ไม่จำเป็นต้องปิดกั้นแต่ต้องกำกับดูแล นอกจากนี้ ผู้ค้าทองคำในไทยขายทองคำในรูปดอลลาร์สหรัฐฯมากขึ้น ธปท.ควรพิจารณาออกเกณฑ์ให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในตลาดพันธบัตรต้องทำประกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อลดธุรกรรมเก็งกำไรบางส่วนลง            โดยช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเม็ดเงินระยะสั้นไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยประมาณ 40,000 ล้านบาท หลังแบงก์ชาติออกมาตรการสกัดการแข็งค่าเงินบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตราสารหนี้ไทยประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท หลังจากนั้นวันเดียวก็กลับมาซื้อสุทธิอีก            สำหรับข้อเสนอใช้นโยบายการเงิน Yield Curve Control (YCC) กระตุ้นภาคการลงทุนพร้อมนโยบายดอกเบี้ย 0% เป็นทางเลือกที่ควรนำไปพิจารณาดู YCC จะช่วยทำให้มาตรการคลังเพื่อกระตุ้นบริโภคทำงานได้ดีขึ้น ข้อเสนอในการใช้นโยบายการเงิน Yield Curve Control (YCC) โดยแบงก์ชาติต้องกำหนดเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางหรือระยะยาว จากนั้นจะเข้าทำการซื้อหรือขายพันธบัตรเพื่อรักษาเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ การใช้มาตรการ YCC ดังกล่าวจะทำให้ แบงก์ชาติลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน และลดการขาดทุนทางบัญชีได้ระดับหนึ่งเมื่อต้องเข้าไปบริหารจัดการการแข็งค่าของเงินบาทอีกในอนาคต            นอกจากนี้ขอเสนอให้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายพันธบัตรระยะกลางอายุ 3-4 ปีที่ไม่เกิน 0.75% และ อายุ 7 ปีถึง 10 ปี ไม่เกิน 1.4% ส่วนอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 1-2 ปีควรปรับลงมาไม่ให้เกิน 0.50% ต้นทุนทางการเงินสินเชื่อระยะ 3 ปีถึง 10 ปีของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะลดต่ำลง โดยเฉพาะต้นทุนเงินกู้ซื้อบ้านและรถยนต์จะลดลง ส่งผลกระตุ้นเชิงบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งยังคงหดตัว การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนซบเซาให้กระเตื้องขึ้นได้ระดับหนึ่ง และจะช่วยบรรเทาปัญหาการว่างงาน            ขณะเดียวกัน YCC ควรจะส่งผลให้ราคาทรัพย์สินทางการเงิน โดยเฉพาะราคาหุ้น ค่าเงินบาท ปรับไปในทิศทางที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยราคาหุ้นน่าจะปรับตัวสูงขึ้นเกิดผลบวกต่อความมั่งคั่ง (Wealth Effect) ไปกระตุ้นภาคการบริโภคและภาคการลงทุนอีกทอดหนึ่ง ผลของการทำ YCC ที่มีประสิทธิภาพ ควรทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงกระตุ้นการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งโดยไม่ต้องกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อ เพราะขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะเงินฝืดและมีเงินเฟ้อติดลบอยู่ และมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่จำนวนมาก            ทั้งนี้หากธนาคารแห่งประเทศไทยตัดสินใจจะทำ YCC ขอแนะนำให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ใกล้ 0% หรือ 0% เสียก่อน การที่เราปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงในช่วงที่ผ่านมา ย่อมส่งผลหักล้างมาตรการทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและตลาดแรงงาน หากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองหรือวิกฤติทางการเมืองในประเทศแล้วทำให้เงินไหลออก หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯเพิ่มขึ้น หรืออุปทานพันธบัตรรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้นจากความจำเป็นในการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ การใช้ (Yield Curve Control) YCC สื่อสารการผ่อนคลายนโยบายการเงินควบคู่กันอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำอาจมีความจำเป็น            นอกจากนี้เห็นว่า ธปท.จะมีข้อจำกัดในการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทในตลาดปริวรรตเงินตรามากขึ้นตามลำดับในระยะต่อไป เนื่องจากไทยอยู่ในประเทศที่ถูกจับตาเป็นพิเศษเรื่องการบิดเบือนค่าเงิน อาจถูกปรับฐานะเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินหรืออัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า (Currency manipulator) ในรายงาน Macroeconomics and FX policy of major trading partners ช่วงต้นปีหน้าได้ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ส่งออกจักต้องดูแลบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนและการแข็งค่าของเงินไทยของกิจการตัวเองให้ดีด้วย            นอกจากนี้ผู้ส่งออกต้องจับตาความสัมพันธ์ของการเพิ่มขึ้นราคาทองคำกับแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่า เพราะในช่วงที่ผ่านมาการแข็งค่าของเงินบาทมักมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น เนื่องจากเวลาราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ผู้ค้าทองคำรายใหญ่มักขายทองคำ (ส่งออกทองคำ) เพื่อให้ได้รับการชำระเป็นเงินดอลลาร์และได้กำไรจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนอีกต่อหนึ่ง