"สธ."จ่อชง"กัญชา"เสริมบริการสุขภาพ เตรียมให้"อนุทิน"ลงนามเดือน พ.ย.นี้ พร้อมเดินหน้าเฟส 2 ดันเป็นพืชกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 19 พ.ย.63 ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กว่า 1 ปี ในระยะแรกมุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน จากสถานพยาบาลใกล้บ้านกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ แพทย์ผู้ใช้มีความมั่นใจในประสิทธิภาพของยากัญชา ส่วนระยะต่อไปจะเน้นการพัฒนากัญชาให้มีมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดกัญชาที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมอบหมายให้สถาบันกัญชาทางการแพทย์ ขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนอยู่บนพื้นฐานของหลักวิชาการ และประชาชนที่ต้องการสร้างรายได้จากกัญชาต้องมีการเสนอแผนธุรกิจให้ชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนนโยบายกัญชา 6 ต้น ต้องดำเนินการต่อ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง ด้าน นพ.กิตติ โล่สุวรรณรักษ์ ผอ.สถาบันกัญชาทางการแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถาบันกัญชาทางการแพทย์ขับเคลื่อนนโยบายกัญชาทางการแพทย์ ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข ผ่าน 3 กลไกหลัก คือ การปรับข้อกำหนดและกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินงาน (Regulation) การศึกษาวิจัย (Research) และการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง (Education) เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามเป้าหมาย โดยจะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เปิดรับฟังข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อนำมาปรับข้อกำหนดและกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้อต่อการพัฒนากัญชาในบริบทของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยได้จัดทำแผนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเป็น 2 ระดับ คือ ระดับครัวเรือน เน้นการลดรายจ่ายด้านการรักษาจากการใช้กัญชาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง และในระดับประเทศที่จะผลักดันให้มีการเชื่อมต่อต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ของผลิตภัณฑ์กัญชาที่จะจำหน่ายและส่งออกต่างประเทศ รวมถึงการบริการสุขภาพ (Wellness) จากกัญชา ซึ่งแผนปฏิบัติการเร่งด่วนนี้ เตรียมเสนอต่อรองนายกฯ และรมว.สาธารณสุขภายในเดือน พ.ย.นี้ เมื่อได้รับการเห็นชอบจะดำเนินการได้ทันที "ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และท่านปลัดกระทรวงฯ มอบนโยบายให้การพัฒนากัญชาเป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ คู่ขนานไปพร้อมๆ การพัฒนาสมุนไพรอื่นๆ เพื่อให้เกิดความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกให้มากที่สุด ซึ่งการดำเนินงานต่อจากนี้ประชาชนคนไทยจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ" นพ.กิตติ กล่าว