ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ความลับถือเป็นสิ่งที่มีราคาทางความรู้สึกที่ยั่งยืนที่สุดของชีวิต...มันคือรากเหง้าอันสูงส่งของศรัทธาอันมีความหมายยิ่งต่อห้วงความคิดและการกระทำที่มิอาจข้ามพ้น..ดั่งนี้ก่อนชีวิตของเราจะละพ้นไปจากโลก ภารกิจอันสำคัญของทุกๆคนจึงขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณแห่งการค้นพบ และ มิติของการก่อรูปรอยแห่งการสร้างสรรค์โลกของเจตจำนงให้กลายเป็นผลสัมฤทธิ์แห่งเปลวประกายของชีวิต ที่เป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุด...ขณะที่การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงสักเพียงใดก็ตาม..........................”
นี่คือนัยแห่งบริบทสำคัญของหนังสือที่มีคุณค่ายิ่งต่อยุคสมัยที่เขียนขึ้นโดย “ดร.จอห์น อิซโซ”(JOHN IZZO Ph.D)/และแปลเป็นภาษาไทยอย่างมีเนื้อในและทรงคุณค่าโดย...”อรวรรณ อบรมย์”
ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย( The Five Secrets You Must Discover Before You Die) หนังสือสารคดีที่ได้รับการกล่าวขวัญ..ถึงอย่างท่วมท้น และเป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัล “The Independent Publisher Book Awards”…ด้วยจุดมุ่งหมายหลักในการเขียนเพื่อไขปริศนาแห่งความสุข ชีวิตที่มีความหมาย และความเสียใจอันลึกซึ้งในชีวิตของผู้คน..
ต้นเค้าของหนังสือเล่มนี้เริ่มต้นมาจากสารคดีที่ออกอากาศทางช่อง PBS –เพื่อเสาะหาความหมายและความสุขอันลึกล้ำด้วยการสัมภาษณ์”ผู้ผ่านโลกมามาก”(อายุ60-105ปี)ซึ่งใครต่อใครต่างบอกว่า เป็นผู้ได้ค้นพบความสุขและความหมายของชีวิต โดยคัดเลือกจากผู้ได้รับการเสนอชื่อกว่า15,000คน จนเหลือเพียง235คน เพื่อค้นพบบทเรียนล้ำค่าจากประสบการณ์ชีวิต รวมกันแล้วกว่า18,000ปี/โดยประเด็นสัมภาษณ์จะมุ่งเน้นไปที่..ภาวะผู้ผ่านโลกมามากๆเหล่านี้ได้เรียนรู้อะไร?/มีสิ่งสำคัญใดมาสอนเราเกี่ยวกับการใช้ชีวิต?/ความเสียใจอย่างลึกซึ้งของพวกเขาให้บทเรียนใดแก่ชีวิตเราบ้าง?/เราจะเปลี่ยนตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างไร?/สิ่งที่พวกเขาแต่ละคนอยากบอกเราในหนึ่งประโยค?/และ...ที่สำคัญ ผู้อ่านจะใช้ประโยชน์จาก”ความลับ”เหล่านี้อย่างไร?...ในวันที่ทุกอย่างยังไม่สายเกิน
“ถ้าเฝ้าดูให้นานพอ..คุณจะรู้ว่าอะไรทำให้คนเรามีความสุข...ผมสังเกตเห็นว่าถ้าคุณมีความรักในชีวิต มีงานที่ทำให้ชีวิตมีจุดหมาย คุณก็เป็นคนที่มีความสุข”
นี่คือคำกล่าวที่มีความหมายของ “เคน” ช่างตัดผมในชุมชนเล็กๆของวอคอนในไอโอวามานานถึง 42 ปี...เขาระบุไว้ในบทสัมภาษณ์ว่า...คำแนะนำที่ดีที่สุดที่เคยได้รับนั้นมาจากพ่อตา ซึ่งบอกเขาตั้งแต่เริ่มต้นคุ้นเคยกันใหม่ๆว่า”การต่อสู้มีทั้งขาขึ้นและขาลง มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สมุดบัญชีธนาคารไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในชีวิตหรอกนะ แต่คนที่ลูกได้พบเจอและส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาต่างหาก ที่เป็นเครื่องวัดความสำเร็จ”
ว่ากันว่า..มิตรสหาย ครอบครัวและผู้คน...คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาเสมอมา...เคนเป็นตัวอย่างที่ดี ณ ที่นี้ที่ปรากฏอยู่ในบทสรุปของการสัมภาษณ์ในมิติที่ว่า..ถ้าเราให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนและปฏิบัติต่อเขาด้วยความรักนั้นฟังดูง่าย แต่สิ่งที่ถูกค้นพบก็คือ แม้ความลับพิเศษข้อนี้จะไม่เป็นความลับอะไร แต่คนจำนวนมากยังมักให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าผู้คนอยู่ดี และชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายก็ทำให้เราลืมที่จะปฏิบัติต่อคนใกล้ชิดด้วยความรัก หลายครั้งที่ความเสียใจอย่างลึกซึ้งที่สุดของเราเกิดขึ้นหลังจากที่ได้ตระหนักว่า...”เราไม่ได้อยู่เคียงข้างคนที่เรารักอย่างแท้จริง”
ดร.จอห์น..ได้ระบุถึงกรณีที่เขาได้สัมภาษณ์...”ซูซาน”ในมิติของการใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น...ไม่ใช่แต่เพื่อตนเอง/
ซูซานวัย 68 ปี..ได้บอกว่า..”พอแก่ตัวลง ฉันไม่เรียกร้องอะไรให้ตนเอง แต่จะทำให้คนอื่นแทน…ส่วนหนึ่งของการแก่ตัวก็คือ คุณจะตระหนักว่าคุณจะไม่ได้อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล แต่เรื่องราวต่างๆจะดำเนินต่อไปแม้ไม่มีคุณ”
นี่ถือเป็นภาพที่งดงาม ที่เขาได้ค้นพบจากคน200คน ว่าขณะอายุมากขึ้น บางคนจะใช้ชีวิตเพื่อตนเอง...กับความผิดหวังและความเสียใจ ขณะที่บางคนรู้จักทำอะไรให้คนอื่น...แน่นอนว่าเมื่อเราหัดใช้ชีวิต เพื่อคนอื่นไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว เราย่อมจะสลายตัวตนเข้าไปในเรื่องราวที่กว้างใหญ่ขึ้น
“สิ่งสำคัญคือวิธีปฏิบัติต่อกันและกัน และวิธีที่เราปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งแวดล้อม เราต้องคำนึงถึงผลกระทบในอนาคต..”
เมื่อได้สนทนากับผู้สูงวัย ดร.จอห์นจึงได้เห็นภาพของสัจธรรมเก่าแก่ที่บอกว่า”เราอยู่ในโลกที่ถูกยืม”..เหตุนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คือคนที่รู้ว่า..พวกเขาได้ทำสิ่งละอันพันละน้อยให้สรรพสิ่งดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาค้นพบมัน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของลูกๆที่ร่วมทำบุญ ทำกุศล ความก้าวหน้าเล็กๆน้อยๆ ของกิจกรรมเพื่อสังคม หรือผลกระทบที่พวกเขามีต่อกลุ่มคนเล็กๆ
การสัมภาษณ์เหล่านี้ทำให้”ดร.จอห์น”เชื่อในคุณค่าของสิ่งที่เป็นหัวใจของผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ พวกเขาได้ประจักษ์ว่า...ชีวิตของพวกเขาสำคัญ และได้รู้ว่าพวกตนได้บำเพ็ญประโยชน์ แต่สำหรับกลุ่มคนที่อมทุกข์ก็ต้องเผชิญกับภาวะที่สุดจะหม่นหมองจากการหมกมุ่นกับตนเอง และกับการแสวงหาความสุข...ความรัก วัตถุสิ่งของ สถานภาพ หรือ ชื่อเสียง ...
ในกรณีบทสัมภาษณ์ที่ชวนใคร่ครวญและตระหนักรู้ของ “ดร.จอห์น” ที่ผมรู้สึกสัมผัสในคุณค่าของการทำงานและการสื่อสารถึงเนื้อในแห่งความเป็นชีวิตมากที่สุดก็คือ.. “เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของบ๊อบ” ชายผู้มีชีวิตย่างเข้าสู่ปีที่ 60...เขาทำงานกับชนพื้นเมืองมานานหลายปี ถึงขนาดได้รับคำเปรียบเปรยยกย่องว่า “ถ้าคุณเป็นคนของเผ่าเรา คุณจะเป็นผู้อาวุโส”...อันถือเป็นเกียรติสูงสุดที่เขาถือว่า...ชีวิตเขาเคยได้รับ..
ดร.จอห์นได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในความเป็นตัวตนของ “บ๊อบ” เอาไว้อย่างลึกซึ้งและน่าสนใจว่า... “การสัมภาษณ์ยังช่วยเผยให้เห็น การเดินทางของจิตใจ ซึ่งได้ให้ถึงความกระจ่างว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณซื่อสัตย์กับตนเอง..
“สมัยก่อนแม่ของเขาเป็นนักดูนกและพ่อยังเป็นชาวสวน ช่วงที่ยังเป็นเด็กพ่อและแม่ของเขามีทางเลือกให้เขาสองทาง ในการใช้เวลาว่าง ท่านจะบอกบ๊อบว่าจะออกไปเล่นกับธรรมชาติข้างนอกบ้างก็ได้ หรือไม่ก็ขึ้นไปอ่านหนังสือข้างบนบ้าน บ๊อบก็ทำทั้งสองอย่าง เขาใช้เวลาท่องไปกับการท่องเขาลำเนาไพร ไปสังเกตชีวิตสัตว์ป่าโดยเฉพาะชีวิตของนก เมื่ออยู่ในห้องก็จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมชาติและนก ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเขาจะรู้สึกผ่อนคลายที่สุดเวลาใช้ชีวิตกลางแจ้ง โลกธรรมชาติทำให้เขาหลงใหลและมีความสุขล้นเหลือ วันหนึ่งตอนอายุสิบขวบ เขาประกาศกับแม่ว่า..เขาจะต้องกลายเป็นนักชีววิทยา แม้ทุกวันนี้เขาเองจะยอมรับว่า...ในตอนนั้นยังแทบไม่รู้เลยว่านักชีววิทยาคืออะไรก็ตาม..แต่เขาทำไปตามแรงขับภายใน อันมีจุดร่วมของงานคือป่าดงพงไพรเป็นสำคัญ”
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ดร.จอห์นได้นำเสนอไว้อย่างน่าใคร่ครวญก็คือ.ประเด็นการคุยกับตนเองที่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่คนส่วนมากแทบจะไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง ..ทั้งๆที่ในแต่ละวันเราจะเกิดความคิดประมาณ 40,000-60.000 ความคิด และความคิดที่เราชอบคิดมากที่สุดจะเป็นตัวกำหนดชีวิตเราในท้ายที่สุด ถ้าปล่อยให้ความคิดจมอยู่ในอดีตหรืออนาคตไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเพราะเสียดายหรือเพราะมัวแต่คิดถึงที่ที่เราจะไป แทนที่จะคิดถึงที่ที่เรากำลังอยู่ ย่อมเท่ากับว่าเราไดฝึกจิตตนเองให้ออกจากปัจจุบันไปเรื่อยๆ
นั่นเป็นวิถีของผู้สูงอายุที่แสดงถึงข้อตระหนักอันสำคัญที่ว่า...สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีและน่าชื่นชมในขณะเดียวกันก็คือว่า...พวกเขาควบคุมจิตใจตนเองได้ เราทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้ว มีอำนาจที่คอยฝึกจิตเรา/แต่ถึงกระนั้นคนส่วนมากกลับเชื่อไปในทางตรงข้ามที่ว่า...อะไรบางอย่างทำให้จิตใจของเราต้องเป็นทาสที่ขึ้นต่อสถานการณ์ภายนอก ...และได้พบอีกว่าผู้ที่มีความสุขนั้นจะเข้าใจดีว่า เราต่างสามารถควบคุมจิตใจตนเองได้มากกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดคิด
นัยความหมายสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผมถือว่าเป็นสาระที่สำคัญยิ่งของหนังสือเล่มนี้... เกี่ยวเนื่องกับ โอกาสที่ที่สุดแล้วก็จะบอกกล่าวแก่เราทุกคนว่า..ความสุขทั้งหมดของเรานั้นจะขึ้นอยู่กับข้างในของตนเอง...อันหมายถึงแนวคิดที่ได้บอกกับเราทุกคนว่า...ไม่ว่าจะตกอยู่กับสถานการณ์ใด เราย่อมสามารถเลือกที่จะพอใจและรู้สึกขอบคุณได้เสมอ.ซึ่งนั่นถือเป็นการเปลี่ยนชีวิตของผู้คนได้...มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่มันย่อมสามารถทำได้จริง โดยการวางหัวใจไว้ในกระบวนการของชีวิต ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องบังคับให้เราต้องยอมแพ้แบบจำนน หรือให้ฝึกยอมรับสถานการณ์ชีวิตอย่างไม่เต็มใจ/แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปก็คือ พลังอำนาจจะค้นพบความสุขนั้นอยู่ในตัวของตัวเอง ไม่ได้อยู่ข้างนอกที่ไหน...ถ้าหากได้มีการฝึกชีวิตยามนี้ เราก็จะมีความสุขได้ทุกเมื่อทุกเวลา ...การฝึกง่ายๆในลักษณะนี้ก็คือ...หลังจากตื่นนอนในแต่ละเช้าก็รำลึกขอบคุณต่อชีวิต ระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน เลิกกังวลไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับอนาคต และฝึกเคลื่อนจิตอย่างนุ่มนวลกลับสู่ปัจจุบัน...และแล้ว...แค่เพียงฝึกซึมซับห้วงขณะต่างๆในชีวิตราวกับเป็นของมีค่า ราวกับว่ามันจะไม่หวนคืนกลับมาอีก ...ทั้งนี้โดยเราต้องอาศัยเวลาและฝึกฝนจึงจะรู้ถึงความลับแห่งความจริงข้อนี้....อย่างแท้จริง
นี่คือหนังสือที่มีคุณค่ายิ่ง...ต่อหลักคิดที่สามารถโน้มนำชีวิตไปสู่กระบวนการค้นพบ..ใครก็ตามที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะได้พบกับคุณค่าของความงามและมุมมองอันสำคัญต่อชีวิตเช่นเดียวกับผู้มีปัญหามากมายอันเป็นกรณีศึกษาที่ปรากฏอยู่ในภาพรวมหนังสือทั้งหมด..มันคือการหยิบยื่นภาวะที่ดีงามต่อชีวิต..ด้วยการสอนสั่งให้รู้ว่า..ในความเป็นตัวตนของเราทุกคน....ขอจงเลิกตัดสินชีวิตที่ผ่านมาของตน และหันมาใส่ใจกับชีวิตที่ยังมีอยู่ ไม่ว่าเราจะผิดพลาดมาอย่างไรและมีความเสียใจเกลื่อนกล่นตกอยู่กับในอดีตมากมายสักเพียงไหน..ขอแค่ จงปลูกต้นไม้ใหม่ในวันนี้ ขอจงเริ่มต้นดำเนินชีวิตตามความลับตั้งแต่บัดนี้..หรือไม่ก็ขอเพียงใช้ ชีวิตตามความลับทั้งห้าให้มากขึ้นเรื่อยๆ...นี่แหละคือสิ่งที่ผู้มีอาวุธทางปัญญาล้วนปรารถนาให้เราได้รู้....
“ถ้าคุณยืนหยัด ถ้าคุณไม่ยอมหยุดที่จะเติบโต คุณจะพบในสิ่งที่คุณใฝ่ฝัน และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในทุกๆขณะ..ที่คุณได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งกับภาวะอัน....สำคัญนี้”