KUN ประกาศผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 63 มีรายได้รวม 497.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้ 461.09 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 42.61 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 43.15 ล้านบาท จากการบุ๊ครายได้จากโครงการคุณาลัย จอย ออน 314 (ฉะเชิงเทรา)-โครงการคุณาลัย จอย-โครงการคุณาลัย บีกินส์ 2-โครงการคุณาลัย พรีม ขณะที่ 9 เดือนแรกมียอดขายสะสมแล้ว 1,100 ล้านบาท หรือประมาณ 85% ของการตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 1,300 ล้านบาท มั่นใจยอดขายทะลุเป้า ด้าน CEO “ประวีรัตน์ เทวอักษร” ระบุภาพรวมอสังหาฯโค้งสุดท้าย เร่งเดินเครื่องวางกลยุทธ์กระตุ้นยอดขาย หวังสร้างการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 750 ล้านบาท บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN ผู้นำด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพื่อขาย โดยเน้นพื้นที่ในเขตปริมณฑลโดยเฉพาะอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี แจ้งผลการดำเนินงาน งวด 9 เดือน ( ม.ค.- ก.ย.2563) ว่าบริษัทฯ มีรายได้รวม 497.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้ 461.09 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 42.61 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 43.15 ล้านบาทส่วนงวดไตรมาส 3/2563 บริษัทฯมีรายได้รวมที่ 170.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสที่ผ่านมา QoQ (ไตรมาส2/2563 รายได้รวม 164.48 ล้านบาท)และเพิ่มขึ้น 8.55% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา YoY(ไตรมาส 3/2562 รายได้รวม 157.25 ล้านบาท) ส่วนกำไรสุทธิ สำหรับงวด ณ ไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ 15.24 ล้านบาท เทียบกับกำไรสำหรับงวด ณ ไตรมาส 2/2563 เท่ากับ 15.85 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) หากเทียบกับกำไรสำหรับงวด ณ ไตรมาส 3/2562 เท่ากับ13.68 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 11.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสที่ผ่านมา (YoY) จากการรับรู้รายได้จากการโอนจาก 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคุณาลัย จอย, คุณาลัย จอย ออน 314, คุณาลัย บีกินส์ 2 (โครงการเปิดใหม่ปี 2563) และคุณาลัย พรีม (โครงการเปิดใหม่ปี 2563) นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วิลล่า คุณาลัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 3/2563 บริษัทวางกลยุทธ์การตลาด โดยการเน้นการส่งเสริมการขายในทุกโครงการ เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมโอน,ฟรีค่าจดจำนอง,ฟรีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง แจกบัตรกำนัล เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังเน้นการสร้างบ้านที่เป็นที่ต้องการของตลาดรวมถึงการกำหนดราคาขายที่เป็นราคาที่ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ ซึ่งจากแผนกลยุทธ์ดังกล่าว ส่งผลให้ยอดขายไตรมาส 3/2563 เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยบริษัทสามารถทำยอดขายได้ 350 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายสะสมช่วง 9 เดือนแรก บริษัทมีความสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 1,100 ล้านบาท หรือ 85% จากเป้ายอดขายในปีนี้ที่วางไว้ 1,300 ล้านบาท สำหรับกลยุทธ์ในช่วงไตรมาสของสุดท้ายของปี 2563 ตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบยังคงมีความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) โดยส่วนใหญ่จะมองหาอสังหาฯ ที่มีระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญกับการทำโปรโมชั่นโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี ถือเป็นช่วงฤดูกาลขาย (ไฮซีซั่น) ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ “การทำโปรโมชั่นจะเป็นอีกปัจจัยในการประกอบการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้บริษัทฯยังคงทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ (Online) เพื่อเป็นข้อมูลให้ลูกค้าตัดสินใจ รวมถึงช่องทางการบอกต่อของกลุ่มลูกค้าเก่า ซึ่งบริษัทฯเชื่อว่าการบอกต่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดี และด้วยสินค้าในทุกโครงการของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของคุณภาพ จึงเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อโครงการของ KUN” ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 4/2563 บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างยอดขาย ขณะเดียวกันยังคงเน้นการสร้างสินค้าเพื่อส่งมอบตามแผน สร้างการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ รวมถึงให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดีที่สุด เพื่อจะช่วยสร้างกำไรให้สูงสุดในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากที่ทำยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปตามเป้าแล้ว ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ ในช่วงโค้งสุดท้าย บริษัทฯเชื่อว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ หลังจากในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา ยอดโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 496.16 ล้านบาท จากทั้งปีตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ไว้ที่ 750 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายรอโอน (Backlog) ในมือรวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยส่งมอบในช่วงไตรมาส 4/2563 เป็นส่วนใหญ่ และส่วนที่เหลือจะทยอยส่งมอบในปีถัดไป โดยที่ผ่านมาบริษัทมีการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยเฉพาะช่วง Covid-19 ที่บริษัทพยายามรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยเน้นการบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างให้เหมาะสมและการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายให้คุ้มค่าเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯสามารถบริหารค่าให้เหมาะสมและควบคุมได้ ทำเพิ่มส่วนของสภาพคล่องจากการลดค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ทำให้ระดับ D/E ณ ไตรมาส 3/2563 เท่ากับ 1.26 เท่า ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมอยู่ที่ 1.6 เท่า