“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” TOP 5 กลุ่มอสังหาฯ โชว์กำไร Q3/63 คว้า 717 ล้านบาท เติบโตทั้ง QoQ และ YoY หนุนระดับอัตรากำไรสุทธิ สร้างสถิติใหม่ทะยานแตะ 28.2% หลังยอดโอนโครงการ JV ทำนิวไฮ เฉพาะ“ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช” โกย 1,000 ล้านบาท ชี้ Q4/63 เห็นสัญญาณบวกทั้งจากสถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการรัฐโค้งสุดท้าย มีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมโอน 8 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้าน ดันกิจกรรมการโอนท้ายปีโดดเด่น เล็งเปิดโครงการใหม่เพิ่ม 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,900 ล้าน นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 บริษัทกวาดยอดโอนรวมไปกว่า 3,896 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน (Non-JV) 2,207 ล้านบาท และกลุ่มโครงการร่วมทุน (JV) 1,689 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 717 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 28.2% สูงที่สุดเท่าที่บริษัทเคยทำมา และทำให้บริษัทยังคงอันดับการทำกำไรอยู่ในกลุ่มท็อป 5 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยได้อย่างแข็งแกร่ง “ปีนี้กำไรของเราโดดเด่นติดท็อป 5 ได้ในทุกไตรมาส เนื่องจากปีนี้เป็นปีแรกที่เราเริ่มเก็บเกี่ยวผลงานจากโครงการร่วมทุนหรือ JV โดยโครงการ JV ที่สร้างเสร็จของเราในปีนี้ทุกโครงการล้วนมีกิจกรรมการโอนที่โดดเด่นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2563 ยอดโอนโครงการ JV ของเราทำสถิตินิวไฮที่ 1,689 ล้านบาท ส่วนสำคัญมาจากโครงการคอนโดมิเนียม JV สร้างเสร็จใหม่คือ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช ที่มียอดโอนสูงถึง 1,000 ล้านบาท ทำให้มีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ JV อย่างยอดเยี่ยม ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin เติบโตขึ้นมาอยู่ที่ 28.2% ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่บริษัทเคยทำมา” สำหรับไตรมาส 4/2563 บริษัทคาดว่าจะสามารถรักษาระดับผลประกอบการให้โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นสัญญาณบวกจากปัจจัยภายนอกหลายด้านต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งผ่านไป ขณะเดียวกันนโยบายภาครัฐที่ขยายเวลารับส่วนลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ถึงสิ้นปีนี้ น่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยภายในไตรมาสนี้ได้ดี ทั้งนี้ในแง่ปัจจัยภายใน บริษัทสามารถพัฒนาโครงการใหม่แล้วเสร็จตามกำหนด พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมอีก 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,540 ล้านบาท ภายในจำนวนดังกล่าว เป็นโครงการ JV 1 โครงการคือ โครงการคอนโดมิเนียมไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท มี Backlog แล้วกว่า 93% ขณะเดียวกันโครงการทั้งกลุ่ม Non-JV และ JV ที่สร้างเสร็จก่อนหน้านี้ ก็ยังจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์กันอย่างต่อเนื่อง บริษัทคาดว่าไตรมาส 4/2563 จะเป็นไตรมาสที่มีกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ และมีกำไรโดดเด่นที่สุดอีกไตรมาสหนึ่งของปีนี้ นอกจากนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกประมาณ 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8,950 ล้านบาท รวมถึงเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ได้แก่ แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ เบลกราเวีย (BELGRAVIA) และแบรนด์คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ โซโห แบงค็อก (SOHO BANGKOK) เพื่อขยายเซ็กเมนท์การดำเนินธุรกิจของบริษัทให้ครอบคลุมตลาดมากยิ่งขึ้น “ทุกคนรู้ว่าตลาดปีนี้อาจไม่ได้สดใสมากนัก เนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 โชคดีของเราคือ เราสร้างรากฐานที่ดีมาตั้งแต่อดีต แม้เราเพิ่งมาพูดเรื่อง Open Platform ปีนี้ แต่จริงๆ เรา Open เรื่องการร่วมทุน เรื่องการผนึกกับพันธมิตรมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ส่งผลให้เรามีทั้งยอดโอนและส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ JV เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทีมเราโดดเด่นเรื่องการค้นหาตลาด หรือ Market Seeking เราหาเรียลดีมานด์ในย่านและเซ็กเมนท์ที่เป็น Blue Ocean จนเจอ เราขยันปรับตัว ขยันเปลี่ยนแปลง พัฒนาโครงการคุณภาพด้วย Reaching Solution และ Living Solution ใหม่ๆ พร้อมทั้งกระจายพอร์ตสู่เซ็กเมนท์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง รากฐานเหล่านี้ ทำให้ยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ของเราขับเคลื่อนไปได้โดยไม่สะดุดแม้ในภาวะตลาดชะลอตัว ล่าสุดยอดขาย 10 เดือนของเราทะลุเป้าหมาย 21,500 ล้านบาทของปีนี้ไปแล้ว” โดย ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 82 โครงการ เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill),เคนซิงตัน (Kensington) และบริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 126,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง(Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ(Service Business)เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร