ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล สายลับในชีวิตจริงไม่เหมือนกับที่เราเห็นในภาพยนตร์สายลับ บรรเจิดเป็นคนเดียวที่แต่งตัวผูกไทอย่างเรียบร้อยมาทำงานทุกวัน ประมาณสัก 3 เดือนภายหลังจากที่ได้บรรจุเข้าหน่วยงานมาได้ระยะหนึ่ง พวกเราก็ถูกเรียกให้เข้ารับการอบรม “นักการข่าวเบื้องต้น” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีพข้าราชการ “สายลับ” อย่างพวกเรา ว่ากันว่าถ้าจะเป็นนักการข่าวโดยสมบูรณ์แล้วจะต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปี คือเริ่มต้นจากการอบรมจากการอบรมไปทีละระดับ และจะต้องมีการฝึกปฏิบัติร่วมกับการประเมินผลอย่างเข้มข้น สุดท้ายก็จะต้องไปฝึกอบรมที่ต่างประเทศ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเทศหลักที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้และได้ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาวิชาชีพนักการข่าวมาตั้งแต่ยุคเริ่มก่อตั้งหน่วยงานข่าวกรองแห่งนี้ คือสหรัฐอเมริกากับอิสราเอล แต่ที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการ “ปั้น” นักการข่าวเหล่านี้ก็คือ “จิตใจ” ที่ต้องมีการประเมินให้เห็นถึง “ความเคารพในวิชาชีพ” และ “ความภักดีต่อองค์กร” ซึ่งก็หมายถึงความมั่นคงในจิตใจที่พร้อมจะเป็นนักการข่าวอย่างเต็มที่ ร่วมกับความรักชาติและความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ พวกเราถูกฝึกให้เป็น “คนธรรมดา” อย่าให้ใคร ๆ รู้ว่าเราเป็นข้าราชการหรือทำงานอะไร บรรเจิดจึงต้องแต่งตัวเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ แต่ดูเขาจะมีความสุขเช่นเคย เหมือนว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้อยากจะแต่งตัว “หล่อ ๆ” ทุก ๆ วันนั้นเลย เพราะพอเขามาแต่งตัวเรียบ ๆ เหมือนคนอื่น ๆ เขาก็ยังสนุกสนานเฮฮา และถ้าสังเกตให้ดีก็ดูเขาจะมีความสุขมากขึ้นด้วยซ้ำ (ซึ่งบรรเจิดมากระซิบให้ผมฟังทีหลังว่า พ่อแม่เขานั่นเองที่คอยพร่ำบ่นให้เขาแต่งตัวให้ดี เพื่อให้ดู “หรูหราสง่างาม” อยู่เสมอ) และยิ่งในเวลาที่ต้องออกไปฝึกในพื้นที่ แล้วถูกกำหนดให้มีภารกิจในแบบอาชีพต่าง ๆ บรรเจิดก็สามารถแต่งตัวเข้ากับสภาพการณ์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เหมือนกับว่าเขากำลังเล่นละครและมีความสามารถในการเล่นตามบทต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ผมถูกจับคู่ให้เป็น “บัดดี้” กับบรรเจิด เวลานั่งเรียนในห้องก็นั่งคู่กัน และเวลาที่ออกไปฝึกในพื้นที่ก็ต้องทำงานร่วมกันโดยตลอด จึงทำให้ได้รู้นิสัยใจคอของบรรเจิดว่าเป็นคนที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง พื้น ๆ ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยขัดคอผมเลย ผมพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรเขาก็จะเออ ๆ ออ ๆ เห็นคล้อยตามเสมอ แถมยังชอบเอาอกเอาใจคนอื่น โดยมักจะหาสิ่งที่คนนั้น ๆ ชอบหรืออยากได้มาให้เสมอ ๆ แม้แต่ขนมนมเนยที่เขาจะสังเกตว่าใครชอบอะไร ก็จะสรรหามาให้รับประทานอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งข้าวของเครื่องใช้ที่หากใครพูดว่าอยากได้อะไร เขาก็จะหามาให้ได้อยู่เป็นประจำ ส่วนหนึ่งก็คือข้าวของในบ้านเขาเอง ที่พี่น้องหลาย ๆ คนอาจจะมีอยู่หรือไม่ใช้แล้ว จนกระทั่งรถยนต์เวลาที่พวกเราอยากจะไปเที่ยวๆ ไหนกัน เขาก็ไปหาหยิบยืมจากทางบ้านมาให้ใช้ เหมือนว่าเขาเป็น “พระเวสสันดร” กระนั้น บรรเจิดมีข้อเสียเพียงเรื่องเดียวคือไม่ค่อยชอบระบายความทุกข์ให้คนอื่นฟัง ทุกเวลานาทีดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขอยู่เสมอ จนบางทีพวกเราก็สงสัยว่าเขาไม่มีเรื่องความทุกข์หรือหงุดหงิดรำคาญใจอะไรบ้างหรือ แต่ผมเคยสังเกตเห็นว่าเขาน่าจะมีความทุกข์อยู่ในบางเวลา เพียงแต่เขาไม่ได้ระบายหรือแสดงออกมา อย่างบางทีที่เรานั่งเรียนด้วยกัน เวลาที่วิทยากรบรรยายพวกเราก็จะต้องจดตามคำบรรยายไปด้วย แต่บรรเจิดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผม บ่อยครั้งที่ผมมองเห็นเขาวาดรูปอะไรแปลก ๆ ที่มองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร เหมือนมีความสับสนหรือกำลังคิดอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า โดยเฉพาะบางทีที่เขาวาดรูปเส้นหนัก ๆ จนกระดาษทะลุ ก็อาจจะเป็นว่าเขากำลังกลุ้มใจอะไรอยู่หรือไม่ จนวันหนึ่งผมได้ถามเขาอ้อม ๆ ว่า มีอะไรที่เขาไม่ได้ดังใจบ้างหรือไม่ แรก ๆ เขาก็บอกว่าไม่มี แต่พอซักไปเรื่อย ๆ ก็รู้ว่าเขาเคยมีแฟนแต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ทำให้เขาอกหักต้องบอกเลิกกับแฟน แต่เขาก็บอกว่า “ไม่เป็นไร” สักวันหนึ่งเขาก็จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารักให้ได้ ในการอบรมตลอด 3 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว คงเป็นด้วยความตื่นเต้นในประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ได้รับจากการอบรม โดยเฉพาะความคาดหวังที่จะเป็นสายลับ แต่กระนั้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคาดหวังทั้งหมด ยกตัวอย่างตัวผมเองที่เคยวาดภาพของความเป็นสายลับไว้ในใจว่า คงต้องไล่ล่าผู้ร้ายและปลอมตัวเข้าจับกุม อาจจะมีการต่อสู้กันดุเดือด จนถึงใช้เล่ห์กลที่ซับซ้อนเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม รวมถึงที่มีอาวุธลับและใช้เทคโนโลยี “ล้ำ ๆ” ในการปฏิบัติงาน ซึ่งก็คงเป็นเพราะได้ดูหนังในแนวสายลับมาอย่างนั้น ในชั่วโมงแรก ๆ วิทยากรซึ่งส่วนใหญ่ก็คือนักการข่าวรุ่นพี่ ได้บอกกับพวกเราว่าอาชีพนักการข่าวที่พวกเราวาดฝันไว้นั้น ต่างจากที่พวกเราฝันไว้อย่างลิบลับ นักการข่าวไม่ใช่เจมส์ บอนด์ แต่เจมส์ บอนด์นั้นเองคือลูกน้องของเรา เราไม่ต้องออกไปฟาดฟันเสี่ยงภัยอะไรแบบที่เจมส์ บอนด์ต้องเจอ แต่เราเป็น “ผู้กำกับ” คอยมอบหมาย สั่งการ และติดตามการทำงานของเจมส์ บอนด์ พวกเราคือพวกที่ต้องใช้ “สติปัญญา” ดังชื่อหน่วยงานที่ว่า Intelligence ที่แปลว่า “ปัญญา” หรือข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่กลั่นกรองมาเป็นอย่างดี หน้าที่ของพวกเราก็คือ “การจัดเตรียมข้อมูลและข่าวสาร” เพื่อให้สายลับเหล่านั้นเอาไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ พวกเราเป็นหน่วยงานตามแบบที่พวกทำงานในสำนักงานเรียกว่า “Back Office” หรือ “ผู้ทำงานอยู่เบื้องหลัง ในขณะที่เจมส์ บอนด์ หรือบรรดาสายลับนักบู๊ทั้งหลายเป็น “Front Office” ที่ทำงานออกหน้าออกตา งานของพวกเราเป็นงานที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้ความอุตสาหะและความอดทน แม้จะไม่ได้ใช้แรงหรือเสี่ยงภัยมากมายเหมือนพวกเจมส์ บอนด์ แต่ก็เป็นงานที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน เจมส์ บอนด์อาจจะเก่งเหนือมนุษย์ แต่ถ้าขาดข้อมูลที่ดีและเพียงพอก็อาจจะเดี้ยงได้เหมือนกัน