ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นฝ้า และถือเป็นปัญหาใหญ่ของสาวไทยที่อยู่โซนเมืองร้อน ซึ่งพญ.ชินมนัส ตั้งจาตุรนต์รัศมี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ระบุ ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีคล้ำที่อยู่บนใบหน้า อาจมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลเทา แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ ฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าผสม ขึ้นอยู่กับความลึกของตำแหน่งเม็ดสีที่ผิวหนัง โดยคนส่วนใหญ่มักเป็นฝ้าผสมมากกว่า การจะรู้ว่าตนเองเป็นฝ้าชนิดไหน การดูด้วยตาเปล่าจะค่อนข้างยาก ควรใช้ Wood’s lamp อาจจะช่วยบอกชนิดของฝ้าได้ โดยลักษณะของฝ้าตื้นมีลักษณะขอบเขตชัดเจน ในขณะที่ฝ้าลึกมีขอบเขตไม่ชัดเจน ส่วนความเข้มของสีจะนำมาใช้พิจารณาชนิดของฝ้ายาก เนื่องจากขึ้นอยู่กับสีผิวของแต่ละคน บางครั้งอาจพบอาการแดงจากปฏิกิริยาอักเสบที่บริเวณฝ้าได้ด้วย ฝ้าและกระมีลักษณะอย่างไร ฝ้าจะเป็นผื่นที่มีลักษณะเป็นปื้นสีคล้ำที่อยู่บนใบหน้า โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม จมูก เหนือริมฝีปากและคาง ส่วนกระแดด มีลักษณะเป็นปื้นราบ ๆ สีน้ำตาล ขอบเขตชัด เป็นวงกลมขนาดไม่ใหญ่ ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า ประกอบด้วย 1. การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตทั้ง A (UVA) และ B (UVB) ที่มีอยู่ในแสงแดด เป็นปัจจัยหลักกระตุ้นให้เกิดฝ้า 2.ฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะ Estrogen เนื่องจากผู้หญิงเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย โดยมักพบในช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิดและช่วงตั้งครรภ์ และ 3. พันธุกรรมและเชื้อชาติ โดยพบว่าคนเอเชียเป็นฝ้าได้ง่ายกว่าคนผิวขาวและสามารถพบในครอบครัวเดียวกันได้บ่อยด้วย กระแดด สำหรับวิธีป้องกันหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้านั้น ควรเลี่ยงการรับประทานยาคุมกำเนิดและหลบแดด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. หากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรใช้ยาทากันแดด และสวมหมวกปีกกว้างจะช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้ การรักษาฝ้า มีแนวทางดังนี้ 1.การรักษาตามสาเหตุและแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงจากสาเหตุนั้น เช่น พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือใช้ครีมกันแดด 2. การทำให้ฝ้าจางลงโดยการใช้สารที่ทำให้ผิวขาว โดยทั่วไปมักใช้ยาทาผสมกันหลายตัว และต้องดูผลการรักษาบ่อย ๆ ทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อสังเกตผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ผิวตรงที่ทายามีอาการแดง หรือบางลงกว่าปกติ ถ้ามีผลข้างเคียงอาจต้องปรับยา 3.การลอกฝ้าด้วยสารเคมี ซึ่งเป็นวิธีการเสริม เพื่อทำให้ฝ้าจางเร็วขึ้นโดยทั่วไปจะใช้กรดอ่อน ๆ เช่น alpha hydroxyl acids (AHAs) หรือ trichloroacetic acid (TCA) 30-50% เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังในชั้นบน ๆ หลุดลอกออก และทำให้เม็ดสีที่อยู่ด้านบนหลุดออกไป การลอกฝ้านั้นจะต้องทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์ โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น แต่หากทำเองหรือไม่ใช่แพทย์ผู้ไม่ชำนาญมีโอกาสเสี่ยง ซึ่งผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง เช่น หน้าลอกหรือไหม้ได้ หลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับฝ้า ซึ่งการรักษาเองด้วยการพอกหน้าด้วยผลไม้มีฤทธิ์เป็นกรดนั้น ไม่ควรรักษาด้วยวิธีการนี้ เนื่องจากผลไม้มีฤทธิ์เป็นกรด และกรดจากผลไม้ไม่สามารถทดแทนการลอกฝ้าด้วยสารเคมี AHA หรือ TCA ได้ นอกจากนั้น อาจทำให้ผิวหนังอักเสบเกิดเป็นผื่นคัน เมื่อผื่นหาย อาจทำให้ฝ้าคล้ำมากขึ้น นอกจากนี้ ผลไม้บางอย่าง เช่น มะนาว ถ้าทาแล้วไปสัมผัสกับแสงแดด อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ผิวหนัง เกิดเป็นผื่น ดำ คล้ำในบริเวณที่ทาได้ นอกจากนี้ จากรายงานการศึกษาพบว่าชาเขียวมีคุณสมบัติในการลดอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ พบว่าสารสกัดจากชาเขียว ช่วยลดอาการแดง, ลดจำนวนของเซลล์ที่ไหม้และป้องกันการทำลาย DNA จากแสงอัลตร้าไวโอเล็ตหรือยูวี ดังนั้น อาจเป็นไปได้ว่าสารสกัดจากชาเขียว อาจจะมีส่วนช่วยลดการอักเสบจากแสงอัลตร้าไวโอเล็ต ซึ่งมีผลต่อการเกิดฝ้า อย่างไรก็ตาม สารสกัดจากชาเขียว อาจมีความเข้มข้นของสารประกอบไม่เท่ากับการกินชาเขียวที่ซื้อได้ทั่วไป และในขณะนี้ยังไม่มีรายงานการศึกษาที่มีการตีพิมพ์แล้วแสดงผลว่าสารสกัดจากชาเขียวช่วยรักษาฝ้าได้ ข้อแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาฝ้า หัวใจสำคัญที่สุดของการรักษา คือ คนที่เป็นฝ้าควรจะหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่กระตุ้นการเกิดฝ้าและหลีกเลี่ยงตากแดด รวมทั้งใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ในการทาครีมกันแดด ควรจะทาปริมาณที่เพียงพอในตอนเช้าและทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่ออยู่กลางแจ้งหรือมีกิจกรรมทางน้ำ การรักษาฝ้าควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากการทายารักษาฝ้าบางชนิด อาจมีผลข้างเคียงถาวร ถ้ามีการใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน การรักษาเสริม เช่น การลอกฝ้าด้วยสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ควรจะทาโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ เนื่องจากอาจเกิดอาการไหม้ได้ ถ้าใช้ความเข้มข้นของสารนั้นมากเกินไปหรือทิ้งไว้ที่ผิวหน้านานเกินไป การรักษาด้วยเลเซอร์ อาจเป็นการรักษาเสริม ซึ่งไม่สามารถทำให้ฝ้าหายขาดได้และควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงทำให้ฝ้าเป็นปื้นสีเข้มมากขึ้นหรือเกิดรอยขาวได้ หากต้องการรายละเอียดเรื่องราวเกี่ยวกับฝ้าแบบเจาะลึก ติดตามได้ที่ Facebook Live ...EP.2 ตอน “ฝ่าฟันฝ้ากับ DST” ในวันอังคารที่ 24 พ.ย.63 เวลา 12.00-13.00 น.ทางเพจเฟซบุ๊ก “ครบเครื่องเรื่องผิวหนัง” หรือค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย WWW.DST.OR.TH