ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
บางคนเกิดมาเพื่อให้คนอื่นได้เชยชม เหมือนดอกไม้ที่ลอยไปตามลมกระนั้น
บรรเจิดเป็นลูกของนายทหารเรือ ที่บ้านเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่มีฐานะค่อนข้างมั่งคั่ง มีบริเวณบ้านกว้างขวางกว่า 3 ไร่แถวถนนพรานนก ปลูกบ้านรวมกันอยู่ 5 หลัง อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่พร้อมญาติพี่น้องอย่างอบอุ่น บรรเจิดได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนชายเก่าแก่ชื่อดังแถวเชิงสะพานพุทธ แต่แรกนั้นพ่อแม่ตั้งใจจะให้บรรเจิดเป็นทหารเหมือนกับพี่ ๆ ที่เป็นทหารไปแล้วทั้ง 2 คน แต่บรรเจิดสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้ ครั้นจบมัธยมปลายแล้วจึงสอบเข้าเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แผนกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทูต โดยครอบครัวหวังจะให้ได้เป็นนักการทูตเป็นเกียรติและชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูลในอนาคตต่อไป
ชีวิตของบรรเจิดจึงห้อมล้อมไปด้วย “ความหวัง” ของผู้คนรอบข้าง เหมือนตุ๊กตาที่ถูกจับแต่งตัวตามแต่คนที่ได้ครอบครองจะจัดชุดให้ใส่เป็นแบบใด โดยที่บรรเจิดก็ไม่เคยปริปากบ่น ทั้งดูเหมือนเขาว่าจะมีความสุขมากและชอบที่จะให้ผู้คนรอบตัวปรนนิบัติกับเขาเช่นนั้น
ผมรู้จักกับบรรเจิดในวันที่มารายงานตัวเพื่อเข้าทำงานที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติตอนต้นปี 2529 ซึ่งเราสอบเข้ามาได้เป็นรุ่นเดียวกันที่สอบได้ 30 กว่าคน และมารายงานตัวพร้อมกันในวันนั้น ที่จำบรรเจิดได้แม่นก็เพราะเขาแต่งตัวดูเนี๊ยบที่สุดในหมู่พวกเรา ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีครีม ผูกเนกไทลายเฉียงเป็นแถบเล็ก ๆ สีแดงสลับเทา กางเกงขาตรงสีกรมท่า รองเท้าหนังสีดำขัดเงาวับ ด้วยหน้าตาที่ค่อนข้างหล่อเหลาและทรงผมที่ทันสมัย ทำให้เขาดูดี “ตั้งแต่หัวจรดเท้า” เขายิ้มให้กับทุกคน แต่ก็มีสะเทิ้นเมื่อสาว ๆ ยิ้มตอบ จากนั้นในสัปดาห์ต่อมาเราก็มาทำงานอย่างเต็มตัว บรรเจิดอยู่กองเดียวกับผมแต่คนละแผนก ที่ในภาษาการข่าวเรียกว่า “โต๊ะ” โดยผมอยู่โต๊ะการก่อการร้ายและการต่อต้านข่าวกรองของประเทศในเอเชียและอาฟริกา ส่วนบรรเจิดอยู่โต๊ะการก่อการร้ายเช่นเดียวกันแต่เป็นของประเทศในยุโรปและอเมริกา จึงทำให้เราได้ร่วมกันทำงานในหลาย ๆ เรื่องอย่าง “เข้าขา” กันเป็นอย่างดี
สำนักข่าวกรองแห่งชาติ แต่แรกตอนที่ก่อตั้งในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีชื่อว่า “กรมประมวล” แล้วมาเปลี่ยนชื่อเป็น “กรมประมวลข่าวกลาง” ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนกระทั่งในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “สำนักข่าวกรองแห่งชาติ” ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า National Intelligence Agency และย่อว่า NIA (น่าจะให้ดูคล้าย ๆ กับ CIA ของสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นแบบของหน่วยงานในลักษณะนี้ ซึ่งกรมประมวลราชการแผ่นดินก็เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นภายใต้การกำกับควบคุมของสหรัฐอเมริกานั้นเช่นกัน) หัวหน้าหน่วยงานเรียกว่า “ผู้อำนวยการ” มีตำแหน่งเทียบเท่าปลัดกระทรวง หรือ ซี 11 ขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลโดยตรง ถือว่าเป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคง เช่นเดียวกันกับทหารและตำรวจ ซึ่งก็มีหน่วยงานด้านการข่าวกรองนี้อยู่เช่นเดียวกัน โดยทหารเรียกว่า “ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ” และตำรวจเรียกว่า “สันติบาล”
ใน พ.ศ. 2529 ที่พวกผมเข้าไปทำงาน ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำนักข่าวกรองกำลังเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ เนื่องจากเพิ่งเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรพร้อมกับการเปลี่ยนชื่อมาเมื่อปีก่อน จึงมีการรับเจ้าหน้าที่เข้ามาจำนวนมาก แล้วกระจายเจ้าหน้าที่เหล่านั้นไปประจำกันทุกกอง แต่ในช่วงแรกในระยะที่ยังฝึกงานนั้นก็มีการพบปะกันอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะที่ต้องมีการเรียนวิชา “สายลับ” หรือที่ทางราชการเรียกพวกเราว่า “นักการข่าว” อยู่ร่วมกันราว 3 เดือน จึงทำให้พวกเรามีความสนิทสนมกันค่อนข้างมาก แม้จะเป็นงานราชการในเรื่องของความลับ แต่พวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ อย่างหนึ่งก็คือความเป็นเพื่อน ที่เรามักจะพบปะ(อย่างที่เรียกในสมัยนี้ว่า “ปาร์ตี้”)กันอย่างสม่ำเสมอ โดยผมจะสนิทสนมกับบรรเจิดเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่จะอยู่ในกองเดียวกัน แต่ยังมี “นิสัยใจคอ” อะไรหลาย ๆ อย่างเหมือน ๆ กัน โดยเฉพาะที่เราทั้งสองคน “ชอบตามใจคน” เรียกว่าใครขอให้ทำอะไรหรือเรียกร้องอะไร ถ้าเราสองคนพอจะทำให้ได้ก็จะทำให้ทุกอย่างทุกคนตามที่ขอนั้น
ในปี 2529 มีปรากฏการณ์ทางท้องฟ้าที่สำคัญ คือการปรากฏตัวของดาวหางฮัลเลย์ ที่จะมีการมาเยือนโลกทุก ๆ 76 ปี (ครั้งก่อนหน้านั้นคือใน พ.ศ. 2453 อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต) ซึ่งปรากฏตัวขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม อันเป็นช่วงที่พวกเรากำลังฝึกวิชาสายลับอยู่พอดี พอตั้งชื่อรุ่นกันจึงเห็นตรงกันว่าต้องชื่อรุ่น “ฮัลเลย์” ซึ่งพวกเราก็มีความก้าวหน้ากันด้วยดีหลายคน ก่อนเกษียณก็อยู่ในตำแหน่งบริหารกันเป็นส่วนใหญ่ โดยพวกเราคนหนึ่งคือคุณรวี ประจวบเหมาะ ได้เป็นถึงผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โดยพวกเราเรียกชื่อเล่นเขาจนติดปากว่า “ป่อง” พวกเราเคยไปจัดปาร์ตี้ที่บ้านของเขา เป็นงานที่สนุกสนานมาก เพราะเจ้าของบ้านทุ่มทุนเต็มที่โดยที่ไม่ได้กระทบขนหน้าแข้งอะไร เพราะมีฐานะดีอยู่แล้ว ส่วนผมได้ทำงานอยู่เพียงปีเศษก็สอบโอนมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เช่นเดียวกันกับบรรเจิดที่ไปสอบเข้ากระทรวงการต่างประเทศและได้เป็นนักการทูตในปีเดียวกันกับผมนั้น
บรรเจิดใช้คำนำหน้าว่า “ว่าที่ร้อยตรี” ด้วยความจำยอม เพราะอยากให้พ่อแม่ญาติพี่น้องภูมิใจในความเป็นทหารดังที่ได้สืบตระกูลมาโดยตลอด เขาเรียนจบหลักสูตรวิชารักษาดินแดน 5 ปี ตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายจนถึงชั้นปีที่ 3 ในมหาวิทยาลัย แล้วถ่ายรูปเครื่องแบบทหารไว้ประดับในห้องรับแขกของบ้าน เขาเคยตัดผมเกรียนตามแบบนักเรียนนายร้อย และเล่นเครื่องออกกำลังต่าง ๆ เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อให้สวยงาม รวมทั้งที่ต้องเดินเหินให้มีจังหวะและท่าทางแบบทหาร เพราะเขาสังเกตว่าพ่อแม่ชอบดูเขาทำอย่างนั้น แต่พี่น้องของเขาบางคนก็หัวเราะ รวมถึงเพื่อนฝูงในตอนเรียนมหาวิทยาลัย พร้อมกับเรียกเขาว่า “ไอ้โกร๋น” และคำถากถางอีกมากมาย ด้วยในยุคนั้นเป็นช่วงหลัง 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งผู้คนรุ่นใหม่มีความรู้สึกไม่ดีกับทหาร แล้วยิ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เป็นสถานที่เกิดเหตุ ก็ยิ่งทำให้เขาดูเป็นตัวประหลาด แต่เขาก็ทำตัวเป็นปกติ เฮฮายิ้มสู้อยู่ทุกวัน จนทุกคนชินชาและเลิกถากถางเขาในที่สุด บรรเจิดบอกว่าถ้าเป็นความสุขของใคร ๆ เขาก็ไม่มีปัญหาและรับได้ทุกเรื่อง
ผมเรียกบรรเจิดว่า “เจมส์ บอนด์ แห่งประเทศไทย” เขายิ้ม ๆ แล้วบอกว่าขอบคุณ