ลานบ้านกลางเมือง / บูรพา โชติช่วง: บูรณะ “พระจุฑาธุชราชฐาน” วังฤดูร้อน ร.5 เกาะสีชัง พัฒนาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม EEC ตะวันออก จ.ชลบุรี กรมศิลปากรเดินหน้าแผนงานอนุรักษ์และพัฒนาพระจุฑาธุชราชฐาน พระราชวังฤดูร้อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 บนเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เมื่อเร็วๆ นี้ นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า จากการประชุมแผนงานการอนุรักษ์และพัฒนาพระจุฑาธุชราชฐาน พระราชวังฤดูร้อนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่บนเกาะสีชัง อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ได้มีการหารือถึงการดำเนินงานพัฒนาเกาะสีชังให้สอดคล้องกับแผนพัฒนายุทธศาสตร์ชาติและการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งปัจจุบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอใช้พื้นที่จากกรมธนารักษ์ เพื่อเป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเลและศูนย์ฝึกนิสิต ทั้งดูแลรักษาพระราชฐานแห่งนี้ ภายใต้แผนงานบูรณะโบราณสถานร่วมกับกรมศิลปากร ได้เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ในพื้นที่ภาคตะวันออกโดยเฉพาะพระจุฑาธุชราชฐาน จึงได้ดำเนินการบูรณะโบราณสถาน ปรับปรุงภูมิทัศน์ พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เน้นถึงการรองรับนักท่องเที่ยว ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมให้เพิ่มขึ้น ใช้เวลาเที่ยวให้นานขึ้น พลับพลา พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 เชิงเขาด้านหน้าริมทะเล อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า ในความร่วมมือนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพร้อมให้การสนับสนุนข้อมูลทางด้านวิชาการ ที่ได้ทำการวิจัยไว้เกี่ยวกับพระราชฐานแห่งนี้ โดยมีเทศบาลตำบลเกาะสีชังร่วมพัฒนาโบราณสถานอื่นๆ ที่อยู่บนเกาะสีชัง โดยในปี 2564 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ องค์ประกอบทางภูมิสถาปัตยกรรม ทางเดินโบราณบริเวณสวนด้านหน้าพระเจดีย์อุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร ทำการบูรณะเจดีย์ 1 องค์ บูรณะบ่อน้ำโบราณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำ และการรื้อฟื้นวิธีบริหารจัดการน้ำในอดีต รวมถึงปรับปรุงพื้นที่จอดรถ ติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่ออำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว และในปี 2565 จะดำเนินงานทางโบราณคดีในพื้นที่โดยรอบให้เสร็จสมบูรณ์ รวมทั้งบูรณะตำหนัก พระที่นั่งองค์อื่นๆ ให้มั่นคงแข็งแรง จัดทำป้ายคำบรรยาย เพิ่มQR Code ตลอดจนทำ Visual นำชมพระที่นั่งจุฑาธุชราชฐาน เพื่อเผยแพร่สร้างการเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ “ตลอดเวลากว่า 20 ปี กรมศิลปากรและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้อนุรักษ์พัฒนาต่อเนื่อง แต่เนื่องจากข้อจำกัดของงบประมาณดูแลรักษาพื้นที่กว่า 190 ไร่ ที่ประกาศเขตโบราณสถาน จึงไม่สามารถเปิดพื้นที่และจัดภูมิทัศน์เพิ่มมากขึ้น เพราะไม่สามารถดูแลได้เต็มที่ ดังนั้น หลังจากได้ดำเนินการบูรณะโบราณสถานแห่งใดเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางเทศบาลเกาะสีชังมีความประสงค์ขอรับมอบโบราณสถานในเขตพื้นที่เกาะสีชังไปบริหารจัดการ ดูแลทำนุบำรุงรักษาโบราณสถานอันทรงคุณค่า พร้อมจัดทำแผนการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้ยั่งยืน” นายประทีป อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว ส่วนภาพชุดนี้ถ่ายปี 2554 เรือนผ่องศรี เรือนไม้ริมทะเล หลังคาปั้นหยา สะพานอัษฎางค์ สระน้ำบนยอดเขา ประวัติสังเขป “พระจุฑาธุชราชฐาน” ปี พ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จแปรพระราชฐานมายังเกาะสีชัง ซึ่งในขณะนั้นพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชเทวีทรงพระครรภ์ใกล้มีพระประสูติการ ดังนั้น รัชกาลที่ 5 จึงทรงสร้างพระราชฐานขึ้น และพระราชทานนามว่า “พระจุฑาธุชราชฐาน” ตามพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชราดิลก โดยการก่อสร้างนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงษ์ กรมพระภาณุพันธุวงษ์วรเดช เป็นแม่กองงาน พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพศาสตรศุภกิจ เป็นนายช่างผู้ออกแบบ พระราชฐาน ประกอบด้วย พระที่นั่ง 4 องค์ ได้แก่ พระที่นั่งโกสีย์วสุภัณฑ์ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ พระที่นั่งโชติรสประภาต์ พระที่นั่งเมขลามณี และตำหนัก 14 ตำหนัก ได้แก่ ตำหนักวาสุกรีก่องเก็จ ตำหนักเพ็ชรระยับ ตำหนักทับทิมสด ตำหนักมรกตสุทธิ์ ตำหนักบุษราคัม ตำหนักก่ำโกมิน ตำหนักนิลแสงสุก ตำหนักมุกดาพราย ตำหนักเพทายใส ตำหนักไพฑูรย์กลอก ตำหนักดอกตะแบกลออ ตำหนักโอปอล์จรูญ ตำหนักมูลการะเวก ตำหนักเอกฟองมุก ซึ่งพระราชทานนามให้สอดคล้องกันหมด ปี พ.ศ. 2436 เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 การก่อสร้างพระที่นั่งและตำหนักต่างๆ ชะงักลง พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อถอนพระที่นั่งและตำหนักบางส่วนไปสร้างไว้ที่อื่น เช่น พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ซึ่งเป็นพระที่นั่งเครื่องไม้สักทอง 3 ชั้น โปรดให้เชิญมาสร้างขึ้นใหม่ใกล้พระที่นั่งอัมพรสถานในพระราชวังดุสิต เมื่อ พ.ศ. 2443 พระราชทานนามใหม่ว่า “พระที่นั่งวิมานเมฆ” หลังจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112 พระจุฑาธุชราชฐานจึงมิได้เป็นพระราชวังฤดูร้อนในการเสด็จแปรพระราชฐานตั้งแต่นั้นมา จุดชมวิว