เมื่อเวลา 16.03 น. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ชี้แจงต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เพื่ออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 วันที่สอง ชี้แจงว่า กรณีที่สมาชิกรัฐสภากล่าวหารัฐบาลทำงานไม่สำเร็จ ตนขอให้นึกถึงเดือนเมษายน ที่ประเทศไทยขาดแคลนหน้ากากอนามัย ต้องเว้นระยะห่าง การแสดงความรักของครอบครัวต้องห่าง แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปเพราะสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ อย่างไรก็ตามการระบาดยังเกิดขึ้นและต้องควบคุม สำหรับประเทศไทยนั้นประสบความสำเร็จ ด้านการฟื้นฟู แก้ไข เยียวยา ทั้งนี้มีดัชนีชี้วัดที่สะท้อนความสำเร็จ เช่น ราคาสินค้าเกษตร, การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออก แต่ปัจจุบันพบดัชนีความไม่มั่นใจของผู้บริโภค ช่วงเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม หลังจากมีความเห็นต่าง ทั้งนี้รัฐบาลยังทำงานและทำนหน้าที่ดีที่สุด นายสุพัฒนพงษ์ ชี้แจงโดยยอมรับว่ามีประเทศภายนอกจับตาตามการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา แต่เป็นการจับตาด้วยความชื่นชม เช่น ไอเอ็มเอฟ ประกาศว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการปรับอัตราการฟื้นฟูได้ดีกว่าประเทศอื่น แม้จะติดลบระดับ 7 แต่ไม่ใช่ระดับ10 หรือเป็นประเทศที่แย่ที่สุดในอาเซียน ขณะที่ปัญหาที่รัฐบาลจับตามองอย่างใกล้ชิด คือ ภาระหนี้ ข้อมูลล่าสุด จากความร่วมมือของรัฐบาลและผู้ใหญ่ทุกๆ คน อาทิ สภาหอการค้า, สภาธุรกิจ , สภา?อุตสาหกรรม จากการรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยพบว่ากลุ่มลูกค้าขนาดเล็กที่จะล้มละลาย ไม่อยู่รอด 94% กลับมาทำธุรกิจปกติ และแก้ปัญหาเพื่อเดินหน้าธุรกิจได้ มีเพียง 6% ที่รอการแก้ไขปัญหา หรือหาตัวไม่เจอ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ ติดต่อและเข้าสู่ระบบ ไม่ทอดทิ้ง "เราเป็นประเทศที่คืบหน้าฟื้นฟู พัฒนา รวมถึงป้องกัน แก้ไข โควิด ได้อย่างดี ทยอยเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย แต่น่าเสียดาย มีความเห็นต่างจากเยาวชน และผู้ชุมนุม ดัชนีบางตัวส่งสัญญาณอ่อนตัว แต่ไม่เป็นไร ภารกิจแก้ปัญหายังไม่จบ ต้องเดินหน้าต่อ รัฐบาล พยายามเต็มที่พร้อมอดทน รวมกับผู้ใหญ่พร้อมทุกภาคส่วน ทั้ง สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า และร่วมมือแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นไป คือสิ่งที่ต้องทำให้เต็มที่ด้วยความอดทน เพื่อให้เยาวชนเข้าใจและหันมาพัฒนาประเทศ เพื่อประชาชนและเยาวชนทุกคน" นายสุพัฒนพงษ์ ชี้แจง