คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ขณะนี้ศึกชิงบัลลังก์เพื่อเข้าสู่ทำเนียบขาวระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”กับ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” กำลังเข้มข้นสุดๆเพราะยังเหลือเวลาอีกแค่เพียง 11 วัน โดยต่างฝ่ายต่างใส่ไฟสาดโคลนเข้าหากันอย่างอุตลุด โดยผมจะขอวิเคราะห์ข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของทั้งสองนักการเมืองรวมถึงแนวโน้มว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในการเลือกตั้งครั้งนี้ และเนื่องจากขณะนี้ปรากฏว่าโพลต่างๆดังเช่น New York Times/Siena College Poll ของวันที่ 20 ตุลาคมนี้ โจ ไบเดนกำลังนำประธานาธิบดีทรัมป์ 50% ต่อ 41% หรือ Wall Street/NBC ของวันที่ 16 ตุลาคมนี้เช่นกัน โจ ไบเดนนำประธานาธิบดีทรัมป์ 53% ต่อ 42% และสำนักโพล RealClearPolitics ของวันที่ 19 ตุลาคม 2020 ได้เฉลี่ยของโพลต่างๆอยู่ที่ 8.6% ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์เกิดอาการหงุดหงิดหัวหมุนฟาดงวงฟาดงาโกรธทุกๆฝ่าย รวมถึงออกอาการพาลพยศไล่โจมตีทั้งสื่อ ทั้งสำนักหยั่งเสียงโดยกระทบชิ่งไปถึง “นายแพทย์แอนโธนี ฟาวซี” ผู้เชี่ยวชาญโรคโควิดและผู้อำนวยสถาบันแห่งชาติด้านโรคติดเชื้อและภูมิแพ้ของสหรัฐฯที่เรียกร้องให้ชาวอเมริกันปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามกฎสาธารณสุขเกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัยและรักษาระยะห่าง เพราะมีชาวอเมริกันเสียชีวิตไปแล้วถึง 2.21 แสนราย และติดเชื้อโควิดแล้วกว่า 8.28 ล้านคน!!! อนึ่งบรรดารัฐสวิงตัวแปรสำคัญที่จะเทคะแนนให้กับฝ่ายไหนก็ได้ ซึ่งเคยทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับชนะเหนือฮิลลารี คลินตัน มาแล้วเมื่อปี 2016 จาก 6 รัฐสวิง อันได้แก่ รัฐเพนซิลเวเนีย รัฐมิชิแกน รัฐนอร์ท แคโรไลนา รัฐแอริโซนา รัฐวิสคอนซิน และรัฐฟลอริด้า ซึ่งมีคะแนนอิเล็กโทรัล (Electoral votes) รวมกัน 101 คะแนน โดยขณะนี้เหล่ารัฐสวิงดังกล่าวได้หมุนกลับตาลปัตรหันไปนิยมชมชอบโจ ไบเดน อนึ่งคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตที่ถือเป็นตัวชี้ขาดเหนือคะแนนป๊อปปูลาร์โหวต ซึ่งคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตนี้มีทั้งหมด 538 คะแนน โดยมาจากจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎร 435 คน บวกด้วยคะแนนของเมืองหลวงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อีก 3 คะแนน ที่นำไปบวกรวมกับจำนวนวุฒิสมาชิกอีก 100 เสียง!!! ทั้งนี้กฎของการนับคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตหมายถึง นับคะแนนจากผู้ที่ได้รับชัยชนะในแต่ละรัฐหรือที่เรียกกันว่า “Winner takes all” ฉะนั้นผู้ที่จะได้รับชัยชนะเข้าไปนั่งครองตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้นั้น จะต้องได้รับคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตอย่างน้อย 270 คะแนนขึ้นไป หรือมากเกินกว่าครึ่งของจำนวนทั้งหมด 538 คะแนนเสียง อนึ่งจากการวิเคราะห์ของ “Nate Silver” นักสถิติขั้นเทพ ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัย “FivethirtyEight” ที่รวบรวมโพลที่เชื่อถือได้ทั้งหมดแล้วนำเอาไปประเมินโดยเขาออกมาสรุป ณ วันที่ 20 ตุลาคมนี้ว่า โอกาสที่โจ ไบเดนจะชนะคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตมากเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 87% ต่อ 12% สำหรับด้านเม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆเช่นกัน เพราะหากฝ่ายใดมีเม็ดเงินมากก็ย่อมใช้ในการหว่านโฆษณาหาเสียงทางสื่อทุกๆประเภทได้กว้างขวางมากกว่า แถมยังสามารถจ้างพนักงานที่จะเผยแพร่กระจายขยายฐานในการหาเสียงได้มากกว่าอีกด้วย ส่วนยอดเงินบริจาคของเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ปรากฏว่าโจ ไบเดน สามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในแวดวงการเมืองสหรัฐฯขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยเขาได้รับเงินบริจาคถึง 383 ล้านเหรียญ ทำให้ขณะนี้โจ ไบเดนมีเงินสดในกองทุนหาเสียงถึง 432 ล้านเหรียญ ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามได้รับเงินบริจาคเพียง 251.4 ล้านเหรียญและมีเงินสดในกองทุน 241.4 ล้านเหรียญ และการที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยพูดว่าหากจำเป็นจริงๆ เขาก็ยินดีที่จะควักกระเป๋าเอาเงินส่วนตัวออกมาทุ่มถึง 100 ล้านเหรียญ แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นเลยแถมเขายังออกมาโอ้อวดในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมนี้ว่า “ข้าพเจ้าเก่งทางด้านหาเงินบริจาค แต่ตอนนี้ยังไม่จำเป็น” สำหรับการโต้วาทีเมื่อวัน 15 ตุลาคมที่แล้วระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับโจ ไบเดน ก็มิได้เกิดขึ้นตามความคาดหมาย เพราะฝ่ายที่รับผิดชอบต้องการให้มีการโต้วาทีกันแบบ “Virtual debate” โดยให้ประธานาธิบดีทรัมป์ กับโจ ไบเดน โต้วาทีกันคนละแห่ง เพื่อป้องการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 แต่ปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์ส่ายหัวปฏิเสธ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงได้เลือกการพบปะพูดคุยกับประชาชนในรูปแบบที่เรียกว่า “Town Hall Meeting” โดยสถานีโทรทัศน์ “NBC” ได้รับเลือกให้เป็นฝ่ายที่จัดให้ประธานาธิบดีทรัมป์พบปะกับชาวฟลอริดา โดยมีพิธีกรชื่อดังประจำสถานีชื่อ “Savannah Guthrie” และรายการในวันนั้นก็เป็นเหมือนดั่งเช่นทุกๆครั้งที่ประธานาธิบดีทรัมป์มักจะพูดขัดจังหวะสอดแทรกโต้แย้งกับพิธีกร ซึ่งวันนั้นเป็นไปอย่างเข้มข้นดุเดือด ส่วนสถานีโทรทัศน์ “ABC” ได้จัดให้โจ ไบเดน พบปะกับประชาชนที่รัฐเพนซิลเวเนีย โดยมีพิธีกรมืออาชีพชั้นเซียน “George Stephanopoulos”ดำเนินรายการ ซึ่งวันนั้นรายการเป็นไปอย่างราบรื่นสงบเรียบร้อยแตกต่างจากรายการของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งจากรายงานของนิตยสารนิวส์วีค เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมนี้ได้ออกมาเปิดเผยว่า รายการของประธานาธิบดีทรัมป์มีผู้ชมรายการเพียง 153,660 คน แต่ในรายการของโจ ไบเดน มีผู้ชมมากกว่าถึงสามเท่าตัวนั่นก็คือ 507,445 คน!!! อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังซวนเซเสียหลักแถมยังดวงตกโดนผีซ้ำด้ำพลอยเพราะโดน “วุฒิสมาชิกเบน แซส” จากรัฐเนแบรสกา สังกัดพรรครีพับลิกันเดียวกันกับเขาได้ออกมากล่าวตำหนิว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ชื่นชมเผด็จการ และสนับสนุนคนผิวขาวที่ชอบใช้ความรุนแรงในการเหยียดสีผิว” โดยวุฒิสมาชิกท่านนี้ยังเปิดเผยว่ายังมีนักการเมืองในพรรครีพับลิกันหลายๆคนได้ถอยตัวออกห่างที่ไม่พอใจประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ทำได้แค่เพียงเก็บเอาไว้ในใจ!!! และถึงแม้ว่าขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังจะจนมุมเข้าสู่ทางตันมองไม่เห็นหนทางข้างหน้าก็ตาม แต่เขาก็ยังคงมีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ให้กลับฟื้นคืนมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาสามารถชนะการโต้วาทีกับโจ ไบเดน ในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ โดยมีการกำหนดเอาไว้ 6 หัวข้อด้วยกันคือ “การบริหารจัดการโรคระบาดโควิด 19” “สถาบันครอบครัวอเมริกัน” “ความสัมพันธ์ระหว่างผิวในอเมริกา” “ปัญหาโรคร้อน” “ความมั่นคงปลอดภัย” และ “ความเป็นผู้นำ” ทั้งนี้เนื่องจากผมมีข้อจำกัดในการส่งบทความจึงไม่สามารถรายงานได้ในบทความฉบับนี้ แต่จะขอวิเคราะห์ในสัปดาห์ต่อๆไป สำหรับข่าวการแทรกแซงของรัสเซียต่อการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เพื่อเอื้ออำนวยให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็กำลังเป็นประเด็นร้อนที่ถูกเปิดเผยมาตั้งแต่หลังประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือก โดยสำนักข่าวรอยเตอร์สได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2017 ในหัวข้อที่ว่า “U.S. intel report: Putin directed cyber campaign to help Trump” โดยรายงานข่าวนี้มาจากการรวบรวมของหน่วยเอฟบีไอ, ซีไอเอ และสำนักงานความมั่นคงสหรัฐฯ และล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา “คริสโตเฟอร์ เรย์” ผู้อำนวยการของหน่วยเอฟบีไอ ซึ่งเป็นผู้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้งขึ้นได้ออกไปให้การต่อคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงของสภาผู้แทนฯ โดยเขาได้ชี้ว่า “จากข้อมูลของหน่วยข่าวกรองทุกๆหน่วยงานของสหรัฐฯ ต่างมีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า รัสเซียกำลังเข้าแทรกการเลือกตั้งในปี 2020 นี้ด้วยเช่นกัน เพื่อเอื้ออำนวยให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ โดยรัสเซียกำลังพยายามดิสเครดิตโจ ไบเดน ผ่านทางโซเชียลมีเดีย อีกทั้งรัสเซียยังต้องการให้การเลือกตั้งของสหรัฐฯครั้งนี้เกิดความวุ่นวายอีกด้วย” กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นถึงแม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเสียเปรียบต่อ อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทั้งด้านคะแนนนิยม คะแนนอิเล็กโทรัลโหวต เม็ดเงินหาเสียงหลายช่วงตัวก็ตาม แต่การโต้วาทีก็อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของประธานาธิบดีทรัมป์ก็เป็นไปได้ กอปรกับการที่รัฐเซียเข้าไปช่วยแทรกแซง อีกทั้งหากคนอเมริกันจะได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง หรืออาจจะมีข่าวดีเกี่ยวกับค้นพบวัคซีนที่สามารถรักษาโรคโควิดได้ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง หรือไม่แน่ว่าผู้ที่นิยมชมชอบโจ ไบเดนอาจจะคิดว่าเขาจะชนะชัวร์ๆก็เลยนอนหลับทับสิทธิไม่ออกไปลงคะแนนเสียง ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาให้จุกอกพูดไม่ออกแล้วในอดีตหรือประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะใช้เล่ห์เหลี่ยมกล่าวหาต่อโจ ไบเดนที่คาดไม่ถึงก็ได้ละครับ