“พุทธิพงษ์” ร่วมกับ กสทช. หารือกับผู้ให้บริการมือถือทุกราย และไอเอสพี ถึงแนวทางการดำเนินการต่อข้อมูลและเว็บไซต์ไม่เหมาะสมในช่วง พรก.ฉุกเฉิน ระบุเกรียนคีย์บอร์ดอย่าโพสต์ข้อความที่สร้างความเสียหายต่อส่วนรวม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)เปิดเผยว่า ได้เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อซักซ้อมความใจในแนวทางปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยได้ประสานกับนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เชิญผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายร่วมหารือด้วย โดยถือเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากการบูรณาการความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาการเผยแพร่และนำเข้าข้อมูลผิดกฎหมายลงในระบบคอมพิวเตอร์ ที่ทุกฝ่ายประสานการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.63 เวลา 04.00 น.เป็นต้นไป โดยข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ข้อ 2 ระบุไว้ว่า “ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด รวมตลอดทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์บรรดาที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ขณะที่ในส่วนบทบาทของกระทรวงที่ผ่านมาก็มุ่งแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลหรือนำเข้าข้อมูลผิดกฎหมายสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่เกี่ยวข้องกับสถานการ์ช่วงนี้ คือ มาตรา 14 (2),14 (3) และมาตรา 27 ทั้งนี้ มาตรา 14 ระบุว่า ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา โดยเมื่อกระทรวงมีคำสั่งศาลถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแล้ว ยังไม่ดำเนินการนำข้อมูลที่ผิดกฎหมายออก มาตรา 27 ระบุว่า ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง นายพุทธิพงษ์กล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้ เพื่อขอความร่วมมือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ช่วยกันเฝ้าระวัง และดำเนินการต่อข้อมูลและเว็บไซต์ไม่เหมาะสม รวมทั้งให้ความร่วมมือทำการลบ/ปิดกั้นข้อมูลและเนื้อหาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือสื่อสังคมออนไลน์ ที่ผิดกฎหมาย ทั้งในส่วนของการละเมิด พรก.ฉุกเฉินฯ และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ “ทุกคนสามารถแสดงสิทธิเสรีภาพ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะการโพสต์ข้อความผ่านโซเชียล เว็บไซต์ต่างๆขอให้กระทำด้วยความระมัดระวัง งดเผยแพร่ข้อความที่เป็นเท็จ บิดเบือนหรือข่าวปลอม รวมถึงต้อง ไม่ยุยง ปลุกปั่น สร้างความแตกแยกในสังคม ไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ต้องไม่ละเมิดสถาบันหลักของประเทศ เพราะการกระทำดังกล่าวจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ รวมถึง พรก.ฉุกเฉินฯ ที่ประกาศใช้ล่าสุด”