แม้จะมีแอคชั่นจากระดับ “แกนนำ” ของพรรคเพื่อไทย ให้เห็นอยู่บ้าง ในระหว่างที่กลุ่มมวลชนที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร 2563” จัดการชุมนุมเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการ ขับไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงปฏิบัติการจาบจ้วงสถาบันอย่างจงใจ ตลอดวันชุมนุมใหญ่ 14 ต.ค. 63 ที่ผ่านมาก็ตาม
แต่หากสังเกตและจับทิศทางให้ดี จะพบว่าท่าทีของพรรคเพื่อไทย ในยามที่การเมืองกำลังร้อนแรงเมื่อม็อบคณะราษฎร ท้าทายรัฐบาล เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันนั้นได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
เพราะครั้งนี้ไม่ได้มีส.ส.ของพรรคเพื่อไทย นัดหมายกันไปร่วมสังเกตการณ์อย่างคึกคักเหมือนที่ผ่านมา
มีเพียงแกนนำบางคนที่ออกมาให้สัมภาษณ์ ในท่วงทำนองประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เข้าจับกุมแกนนำและผู้ชุมนุมจำนวน 21 รายเมื่อวันที่ 13 ต.ค. เท่านั้น
แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของพรรคเพื่อไทย ที่มีต่อการชุมนุมเคลื่อนไหวของม็อบไล่รัฐบาล ที่มีเป้าหมายแอบแฝง อยู่ที่การจาบจ้วงสถาบัน ได้กลายเป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วไปแล้วว่าจากนี้ไป จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อมีสัญญาณ ให้เดินหน้าจาก “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” อดีตภริยา ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปสู่เป้าหมายการทำให้พรรคเพื่อไทยกลับมายิ่งใหญ่ เหมือนกับที่พรรคไทยรักไทย เคยทำสำเร็จมาแล้ว
การที่พรรคเพื่อไทยถอยฉากออกมาจากการชุมนุมของม็อบคณะราษฎร ที่บัดนี้ได้กลายเป็นม็อบที่มีภาพของการจาบจ้วงสถาบัน อย่างชัดเจน ทั้งทางตรงและทางอ้อมเช่นนี้ หากเพื่อไทย ยังเอาตัวเองเข้าไปพัวพัน ย่อมจะกระทบถึงงานใหญ่
ยิ่งเมื่ออีกไม่กี่อึดใจ การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นอย่างการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และนายกอบจ.ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เพิ่งเคาะให้วันที่ 20 ธ.ค.เป็นวันเลือกตั้งอบจ.ทั่วประเทศ คืองานใหญ่ คือภารกิจสำคัญที่พรรคเพื่อไทยจะต้องวางแผนการเล่นให้รัดกุม และเอาชนะในการเมืองสนามเล็ก ให้ได้มากที่สุด
หากจะเปรียบเทียบบรรยากาศที่พรรคเพื่อไทย กับ พรรคก้าวไกล เวลานี้ต้องบอกว่าแตกต่างกันลิบลับ !
เพราะพรรคก้าวไกล กำลังเผชิญหน้ากับศึกรอบด้าน ทั้งการที่พรรคเอง ต้องผูกติดกับคณะก้าวหน้า ที่มีร่างเงาของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” แกนนำ รวมทั้งส.ส.ของพรรคเองยังต้องวิ่งไปใช้ตำแหน่งส.ส.เพื่อประกันตัว แกนนำม็อบคณะราษฎร
ขณะที่ภารกิจที่ว่าด้วยการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 เองก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะสำเร็จ ลุล่วงได้จริงหรือไม่ เพราะยังต้องฝ่าด่านทั้ง รัฐบาลและส.ว.
แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย เป้าหมายที่จะนำพาพรรคไปสู่ความยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต ต่างหากคือวาระที่มีความสำคัญ เหนืออื่นใด ยิ่งเมื่อได้รับการดูแลจาก “เจ้าพรรคตัวจริง” เสบียง และน้ำเลี้ยงได้รับการเสริม อย่างเต็มพิกัด
แม้วันนี้กระแสของพรรคเพื่อไทย จะไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเมื่อคราวมีอดีตนายกฯทักษิณ เป็นจุดขาย แต่ก็ไม่ควรพาตัวเองไปพัวพันกับข้อครหา ที่ว่าด้วยฝ่ายล้มล้างสถาบัน ก็น่าจะพอทำให้สามารถประคองพรรค ให้ทำพื้นที่เลือกตั้งสนามเล็กสนามแรกอย่างการเลือกตั้งอบจ. ได้อย่างไม่ขี้เหร่นัก
เมื่อพรรคเพื่อไทย สามารถ “ตุนคะแนน” จากการเมืองสนามเล็ก ระดับท้องถิ่นเอาไว้ได้แล้ว การสร้างความแข็งแกร่งในระดับฐานราก เมื่อยามต้องแข่งขันกับ กระแสของพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาล ก็คงไม่น่ากลัวเหมือนที่ผ่านมา
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ คือการเดินไปสู่เป้าหมายคือการทำให้พรรคเพื่อไทย สามารถกลับมาทวงแชมป์ทางการเมืองกลับคืนมา และหากต่อไปในวันข้างหน้า จะใช้ “ฐานอำนาจ”ไปเพื่อ การต่อรอง อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินไปจากความคาดหมาย !