“อุเทน”ชม “มีชัย” ไม่มั่วตามกระแสสนช.สายเชลียร์แก้ร่างรธน.ปิดทางส.ว.ชงชื่อนายกฯ หวังเป็นบรรทัดฐานการใช้ กม. แนะ “บิ๊ก คสช.” หากอยากลุ้นเป็นนายกฯ ก็เอาชื่อไปใส่โผของพรรคการเมืองได้ ค้านเพิ่ม สนช.เป็น 250 คน ชี้ที่มีอยู่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยทำงานอยู่แล้ว อยู่ไปเปลืองภาษี ตะเพิดพวกกระสันอยากเป็น ส.ว.ลากตั้ง จี้ลาออกก่อน รธน.บังคับใช้ เพื่อความสง่างาม นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มีมตินำคำถามพ่วงที่ผ่านการลงประชามติมาแก้ไขเพิ่มเติมในร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เต่ไม่มีสิทธิที่จะเสนอชื่อว่า แม้ตนจะไม่เห็นด้วยกับการที่ ส.ว.จากการแต่งตั้งจะมาร่วมลงมติเลือกนายกฯ แต่ก็ต้องขอชื่นชมในความกล้าหาญ และความมั่นคงในหลักการของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.และกรรมการ กรธ.ที่ไม่คล้อยไปตามกระแสกดดันของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสมาชิกบางส่วนของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่พยายามสร้างความสับสน โดยการตีความอย่างกว้างว่า คำถามพ่วงที่ผ่านประชามติระบุให้ ส.ว.มีสิทธิเสนอชื่อผู้เหมาะสมเป็นนายกฯได้ในช่วง 5 ปีแรกหลังการเลือกตั้ง ทั้งที่คำว่าร่วมพิจารณาในคำถามพ่วงนั้น ควรครอบคลุมแค่การร่วมลงมติเท่านั้น หากสภาผู้แทนราษฏรไม่สามารถเลือกนายกได้ เชื่อว่าถ้า กรธ.ไหวหวั่นไปตามแรงกดดัน จะส่งผลเสียจนเกิดวิกฤตศรัทธาที่มีต่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเฉพาะนายกฯ เนื่องจากจะถูกมองว่ามีการตีความเข้าข้าง และเพื่อผลประโยชน์ของคสช. ทั้งนี้หากผู้มีอำนาจ หรือคนใน คสช.ต้องการร่วมกระบวนการเสนอตัวเป็นนายกฯหลังเลือกตั้ง ก็สามารถให้พรรคการเมืองนำชื่อไปใส่ได้ ตามกติกาที่ร่างมา “การที่มีการตีความตามลายลักษณ์อักษร ตามเจตนารมณ์ที่กำหนดในคำถามพ่วงอย่างตรงไปตรงมา จะเป็นตัวอย่างที่ดีในการเสนอหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องของ กรธ. และจะเป็นบรรทัดฐานในการบังคับใช้กฎหมายปกครองบ้านเมืองในอนาคต ที่ต้องมีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นไปตามครรลอง อย่าให้มีการตีความจนทำให้ดูเหมือนมีการเข้าข้าง หรือสองมาตรฐานอีก” นายอุเทน กล่าว นายอุเทน ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ คสช.กำลังจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อเพิ่มจำนวนสมาชิก สนช.จาก 220 คน เป็น 250 คนโดยให้เหตุผลว่า ต้องการเพิ่มบุคลากรเพื่อมาช่วยเร่งพิจารณาร่างกฎหมายที่ค้างอยู่เป็นจำนวนมากว่า ต้องถามว่า สนช.ที่มีอยู่ได้ทำหน้าที่อย่างดีและเต็มที่แล้วหรือไม่ หลายคนที่เป็นข้าราชการประจำก็ไม่สามารถทำงานในฐานะ สนช.ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งยังได้รับข้อมูลมาว่า มี สนช.จำนวนมากไม่ได้เข้าร่วมประชุม ทั้งในส่วนของที่ประชุมใหญ่ และโดยเฉพาะการประชุมในกรรมาธิการชุดต่างๆ ซึ่งหลายคนมาลงชื่อ แต่ก็ไม่เข้าประชุม พฤติกรรมนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากนักการเมืองที่มีมาในอดีต อีกทั้งยังมี สนช.บางส่วนที่จ้องแต่จะเอาอกเอาใจผู้มีอำนาจ ด้วยการตีความคำถามพ่วงจนเกิดความสับสน โดยพยามอุปโลกน์ อ้างเสียงประชามติของประชาชน โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ก็เพียงเพื่อต้องการเอาใจผู้มีอำนาจนั่นเอง ดังนั้นการเพิ่มจำนวน สนช.จึงไม่ได้ตอบโจทย์ที่ คสช.ต้องการ แต่ควรที่จะกวดขันการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ใครไม่พร้อมก็ควรลาออกไป เพื่อให้ คสช.พิจารณาคนใหม่มาทำหน้าที่แทน เพราะการเพิ่มจำนวนสมาชิก ของ สนช.ก็หมายถึงการที่ประเทศจะต้องสูญเสียงบประมาณในส่วนของค่าตอบแทนต่างๆเพิ่มขึ้นด้วยอีกทั้งยังจะถูกมองว่าเพิ่มจำนวน สนช.เพื่อรองรับข้าราชการที่กำลังจะเกษียณ รวมทั้ง สนช.บางคนที่เตรียมลาออกไปเป็น ส.ว.แต่งตั้งในอนาคตด้วย "ดังนั้น สนช. หรือ สปท.คนใดที่คิดว่าทำงานไม่ได้ ควรพิจารณาตัวเอง รวมทั้งพวกที่หวังจะเล่นการเมือง จะลงเลือกตั้ง หรืออยากเป็น ส.ว.แต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ควรลาออกก่อนที่รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ เพื่อความสง่างาม และจะเป็นแบบอย่างที่ดีต่อไปในทางการเมือง” นายอุเทน ระบุ.