เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวที่เป็นกระแสฮอตฮิต คือ“ครูอ้อย" ฐิตินาถ ณ พัทลุง เจ้าของพ็อกเก็ตบุ๊คชื่อดัง“เข็มทิศชีวิต”และเปิดคอร์สบำบัดคนที่มีปัญหาชีวิตด้วยแนวทางจิตสำนึก กระทั่งเป็นข่าวครึกโครมว่า“ครูอ้อย”คือจอมลวงโลก และเรียกเก็บค่าคอร์สของตัวเองแพงเกินจริง แต่ก็มีลูกศิษย์ส่วนหนึ่งที่เป็นคนดังและคนบันเทิง ต่างก็ให้กำลังใจครูอ้อย และแม้ว่าครูอ้อยจะออกมาแถลงข่าว อ้างถึงขบวนการกลั่นแกล้งเธอ โดนกลุ่มคนที่คาดว่าน่าจะเป็นขบวนการ สร้างเว็บไซต์เพื่อข่มขู่และเรียกเงิน 11 ล้านบาท หากไม่ปฏิบัติตามภายใน 36 ชม. จะใส่ข้อมูลเท็จเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบในเชิงลบ แม้ขณะนี้จะยังไม่ทราบว่าบุคคลที่สร้างความเสียหายนี้เป็นใคร แต่หวังว่าจะไม่เป็นลูกศิษย์ หรืออดีตลูกศิษย์ที่เคยมีปัญหาไม่เข้าใจกัน อย่างไรก็ตามได้รวบรวมเอกสารทั้งหมดให้กับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแล้ว แต่การชี้แจงของครูอ้อย ก็ยังถูกสังคมเคลือบแคลงสงสัยหลายอย่าง ทำให้เธอตกอยู่ในภาวะที่ต้องนำหลักฐานออกมาชี้แจงและแถลงข่าวในอีกไม่นานนี้ ซึ่งก่อนจะมีการแถลงข่าวดังกล่าว ครูอ้อยได้ขอฝากข้อความระบายความในใจ และขอความเป็นธรรมส่งมายังสื่อ โดยมีถ้อยคำดังนี้ “หลายสัปดาห์มานี้ คนไทยได้ดูเกมส์โปลิซจับขโมย ที่ขโมยเดินหน้าอยู่หลายก้าว ผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งจับชื่อเสียงคนๆหนึ่งไว้เป็นตัวประกัน ปฏิวัติวงการเรียกค่าไถ่แบบใหม่ คือไม่ต้องเอาตัวไว้ เอาแค่ชื่อเสียงไว้ก็พอ แล้วเขียนข้อความขู่กรรโชก จะทำลายให้สิ้นซาก หากผู้ถูกเรียกค่าไถ่ไม่ยอมจ่ายเงิน 11 ล้านบาท เรียงลำดับหัวข้อทุกอย่างเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย ทั้งโจมตี พ่อแม่ลูก งาน ธุรกิจ การทำบุญ หุ้นตัวเดียวที่เคยซื้อ บริษัท ภาษี ไปเที่ยวกินข้าว ทำอะไร เอามาแต่งให้ทุกเรื่อง กะว่า ทำทั้งหมดนั้น คนถูกทำตายแน่ แล้วมีบางสำนัก เป็นคนต้นขบวนในการกระจายข่าว ข่าวต่างๆมีหัวข้อตรงกับที่โจรวางไว้” “ก่อนหน้านั้น ก็ประโคมข่าวปูพื้นไว้ก่อน เทียบกับวัดแห่งหนึ่ง อันนี้หวังผลสองทาง คือเสี้ยมให้ลูกศิษย์วัดดัง โกรธครูอ้อยที่ถูกนำมาเทียบกับวัดเขา อีกทางคือ คนที่ไม่ชอบวัดนั้นก็โกรธด้วย ทั้งๆทีไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง แต่กระแสในสังคมจุดติดง่าย บิดเรื่องว่า ไปภาวนาต้องจ่ายเงิน เอาค่าเรียนห้องสัมมนา ของนักธุรกิจ มาบิดเป็นว่าเป็นค่าเรียนธรรมะ ซึ่งใครจะไปจ่ายเงินไปฟังเทศน์ที่มีเทศน์ฟรีกันทุกวัด แต่โจรเรียกค่าไถ่ก็สร้างเรื่องจากขาวเป็นดำได้สำเร็จอีกเรื่อง ต่อด้วยเรื่องเงินทำบุญ จนครูอ้อยออกมาชี้แจงว่า มีทีมรับเงินไปมอบตามองค์กรที่ตั้งใจทำบุญทุกแห่งถูกต้องโปร่งใส ฝ่ายกล่าวหาก็หาว่า เพราะอยากได้ใบอนุโมทนาบัตร หรือใบเสร็จ จนมีการออกมาชี้ชัดว่า เวลาไปภาวนาที่โรงแรมหรือที่อินเดียมีคนจ่ายเงินให้ก่อน มีใบเสร็จ พอภายหลังคนร่วมทำบุญมา ก็เอาเงินนั้น ไปสำหรับทำบุญต่อ และที่หาว่าจะได้ประโยชน์ทางภาษี ปีที่ผ่านมา รัฐลดฐานภาษีบริษัทเหลือ 0-10% หาว่าคนทำบุญเพราะอยากได้ใบอนุโมทนาบัตรไปหักภาษี แต่ประเทศไทยนั้น เงินทำบุญ ลดหย่อนภาษีได้แค่ล้านละ สองหมื่น แล้วลดได้ไม่เกินสองแสน คนที่ทำบุญไปเป็นล้านๆ พวกโจมตีก็หาว่าเพราะเขาอยากได้ลดหย่อน สองหมื่น คนปกติคิดก็รู้แล้ว ว่าใส่ความกัน” “จากนั้นก็โจมตีด้วยเรื่องส่วนตัว ความรักการใช้ชีวิต บ้าน การท่องเที่ยว พ่อแม่ลูกอีก ซึ่งถ้าเรามองดูดีดี ฆราวาส ถึงเขาจะทำบุญสุนทาน ช่วยคน เขาก็เป็นฆราวาส แล้วถ้าเขาต้องเจอกับปัญหาอะไรในชีวิตเขา ก็เป็นเรื่องที่น่าเอาใจช่วย คนที่พยายามทำดี ในโลกที่ปั่นป่วนแบบนี้ ในขณะที่โจรที่มุ่งโจมตี พยายามชี้นำกระแสสังคมว่า ตัวเองเป็นเจ้าของชีวิตคนอื่น ให้ไปควบคุมบังคับว่าใครจะใช้ชีวิตยังไง แบบนี้คนก็จะไม่อยากทำความดี เพราะทำดีแล้วต้องมาถูกคาดคั้น บังคับ ใส่ความ มีการโจมตีว่าเอาบ้านสวยๆมาใช้ให้คนจนไปปฏิบัติธรรม ทุกวันนี้ คนปาร์ตี้กินเหล้า เต้นรำในบ้านแบบไหน เป็นเรื่องปกติ แต่พอเอามาให้คนจนใช้ปฏิบัติธรรม กลายเป็นเรื่องแปลก แล้วแบบนี้ เราจะกลายเป็นผูกขาดว่าให้ปฏิบัติธรรมตอนจน พอใครรวยแล้วให้หลงโลก ไปมีของสวยแล้วไม่ต้องภาวนา ไม่งั้นก็ไม่ต้องมีอะไรดีดีในชีวิต ไปปฏิบัติ เฉพาะตอนอกหัก ตกงาน เป็นหนี้ ชีวิตเป็นทุกข์ ยากจน ใช้สื่อหนึ่งเป็นคนต้นกระแส” “ต่อด้วยเพจเฟซบุคเครือข่ายต่างๆ รับลูกกันไป สรุปคือ การโจมตี มีแบบแผนตรงตามจดหมายขู่เรียกค่าไถ่ โจรทำตามที่ขู่ไว้ทุกอย่าง และขู่ว่ายังมีไม้ตายอีกมาก มีเครื่องมือเยอะ เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากที่ร่วมมือกันเป็นขบวนการ กระบวนการยุติธรรมของไทย จะตามทันโจรยุคใหม่หรือไม่ เรื่องนี้จะถูกจับได้โดยตำรวจ หรือคนธรรมดาอย่างไร มาติดตามดูกัน” นี่คือข้อความที่“ครูอ้อย”ระบายออกมา และต้องการชี้แจงให้สังคมเข้าใจ ซึ่งเร็วๆนี้จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมนำหลักฐานเพื่อให้สังคมได้เห็นภาพอย่างชัดเจน โดยจะมีคนดังและคนวงการบันเทิงที่ยังศรัทธา “ครูอ้อย”มาร่วมให้กำลังใจครั้งนี้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ต้องติดตามกันต่อไป ว่าจะเป็นแค่เรื่องสั้น หรือซีรี่ย์ยาวแค่ไหน ขึ้นอยู่กับหลักฐานเท่านั้น สื่อมีหน้าที่นำเสนอข่าว ไม่ชี้นำ ไม่เข้าข้างใคร เพียงแต่ให้ข้อมูล และให้โอกาสผู้ตกเป็นจำเลยของสังคม ได้มีพื้นที่เรียกร้องความเป็นธรรม