พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลา ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ มิได้อนุมัติงบประมาณเบิกจ่ายเงินให้กับบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด เป็นค่ารถซ่อมบำรุงทางเอนกประสงค์ 2 คัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 50,850,000 บาท ว่า ป.ป.ช.ชี้มูลแล้ว หลังจากนั้นกติกาเป็นอย่างไรต่อ ก็ไปสู้ในศาล อะไรก็ว่ากันไป และเมื่อวันที่ 1 ต.ค. นายนิพนธ์ได้ชี้แจงออกมาแล้ว เป็นเรื่องของศาล ผู้สื่อข่าวถามว่า จะส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หากเขาชี้ชัดว่าผิดก็กระทบ กติกาอยู่กับรัฐบาลมาตั้งนานแล้วว่ากรณีจะพ้นหน้าที่ หรือจะต้องถูกออก มีกรณีไหนบ้าง กฎหมายไทยเขียนไว้อย่างนั้นว่าเมื่อมีคำตัดสินจะต้องหยุดเมื่อมีคำตัดสินที่ชัดเจนจากระบวนยุติธรรมคือ ศาล ส่วน ป.ป.ช.เป็นเรื่องของการชี้มูล และส่งฟ้องศาล กระบวนการเป็นอย่างนี้ ในช่วงท้ายนายกฯ ได้ถามผู้สื่อข่าวว่ามีอะไรจะถามอีกหรือไม่ ผู้สื่อข่าวจึงตอบว่า แล้วนายกฯมีอะไรในใจอยากจะพูดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากให้บ้านเมืองสงบสุขเรียบร้อย ให้มันผ่านอันตรายของช่วงโควิด-19 ไปได้ และเศรษฐกิจดีขึ้น ฉะนั้น อะไรที่รัฐบาลทำ คิดแล้วคิดอีก พยายามทำอย่างเต็มที่ ทีนี้เราต้องเห็นใจว่าคนของเรามีจำนวน 60 กว่าล้านคน ฐานะความเป็นอยู่ก็แตกต่างกัน ทั้งภาคธุรกิจ ประชาชนทั่วไป เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ทั้งหมดคือปัญหาในเชิงโครงสร้าง รัฐบาลคิดมาตลอดว่าจะทำอย่างไรในเรื่องนี้ ก็คือ ต้องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศใหม่ ไม่ได้ฝากเฉพาะการส่งออก การท่องเที่ยว รัฐบาลคิดอย่างนี้มาตลอด จะเห็นว่าหลายอย่างเดินหน้าไปแล้ว แต่มันไม่ง่ายนักหรอก เพราะเป็นอย่างนี้มาตั้งหลายสิบปีมาแล้ว เราพยายามแก้มา จะเห็นตัวอย่างว่าเราแก้อะไรมาบ้าง ที่แก้มาท่านอาจจะมองไม่เห็นก็ได้คือ เรื่องกฎหมาย ทุกอย่างต้องแก้ด้วยกฎหมายทั้งหมด ถ้ากฎหมายไม่แก้มันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันปฏิรูปไม่ได้ ปฏิรูปทุกอย่างมันต้องพึ่งการแก้ไขกฎหมาย เราทำนอกกติกาเดิมไม่ได้ วันนี้เราก็มีรัฐธรรมนูญใช้อยู่ ถ้ายังไม่ได้แก้ไขก็ต้องทำตามรัฐธรรมนูญเดิมอยู่เท่านั้นเอง