ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต ภาวะแห่งการแพร่ระบาดของสิ่งใดสิ่งหนึ่งบนโลกนี้...มักจะดำเนินไปดั่งการรุกรานที่ยากจะป้องกันแก้ไข มันคือโครงสร้างในด้านร้ายของโลกที่ทรงอิทธิพลมากขึ้นทุกขณะ...เหมือนโลก ณ ขณะนี้ที่เหมือนถูกจองจำด้วยรหัสแห่งความตายที่ยากจะป้องกัน...การตระหนักรู้เหนือข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้จึ่งคือความสำคัญล้ำลึกที่มนุษย์ ณ วันนี้ควรใส่ใจ...มันกำลังเป็นบทเพลงแห่งเนื้อในของหายนะที่ค่อยๆกัดกร่อนสถานะแห่งจิตวิญญาณ ให้ต้องพังทลายลงอย่างสิ้นท่าเท่าที่โลกเคยเผชิญหน้ากับความเลวร้ายใดๆมา...และนี่คือบทเรียนที่มนุษย์ ในวันนี้ทุกๆคนสมควรที่จะต้องสัมผัสและเรียนรู้ในกลไกด้านลึกของมันอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยความใส่ใจและจักต้องอยู่กับความเป็นจริงอย่างถึงที่สุดให้ได้.. “การระบาดของไวรัสโคโรนา น่าจะเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขที่สำคัญที่สุดในยุคสมัยของเราทุกคน...นี่มิใช่ครั้งแรก และหาใช่ครั้งสุดท้าย ...มันอาจจะไม่เป็นครั้งที่น่าพรั่นพรึงที่สุดเสียด้วยซ้ำ...แต่อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อมันจบสิ้นอาจมีผู้เสียชีวิตไม่มากไปกว่าการระบาดครั้งก่อนหน้าทั้งหลายที่เคยมีมา...แต่นับจากมันปรากฏตัวได้สามเดือน ก็ครองอันดับหนึ่งแล้ว เพราะ Sars-Cov-2 ...เป็นไวรัสตัวแรกที่แพร่เชื้อในระดับโลกได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้...ตัวอื่นๆที่คล้ายคลึงกันเช่น..Sar-Cov ซึ่งมาก่อน ถูกปราบอย่างฉับไว หรืออย่าง HIV ก็แฝงกายอยู่ในเงามืดมานานหลายปี..Sars-Cov-2 ห้าวหาญกว่า และความฮึกเหิมของมันก็เผยให้เราเห็นถึงสิ่งหนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยรู้จักมัน แต่ยากจะหาขนาดของมันได้ กล่าวคือ ระดับอันมากมายและหลากหลายที่เชื่อมเรากับคนอื่นๆทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งความซับซ้อนของโลกที่เรายังอาศัยอยู่ ของตรรกะทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ จิตใจ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” บทกล่าวนำของหนังสือ “ในการแพร่ระบาด” โดย “เปาโล จอร์ดาโน” นักเขียนชาวอิตาลีในหนังสือชุด “อ่านอิตาลี”...ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยอย่างเน้นย้ำถึงรายละเอียดโดย “นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ”...เริ่มต้นขึ้นด้วยประเด็นของความจริงอันชวนใคร่ครวญเช่นนี้...มันคือสิ่งที่ยากจะเลี่ยงพ้นในประเทศอิตาลี ดินแดนที่อยู่บนเวทีแข่งขันอันน่าหวั่นวิตกอย่างเหนือความคาดหมายของคนจำนวนมาก เป็นเหตุการณ์ที่ยากจะบอกได้ว่ามีสิ่งใดเป็นตัวกำหนด เพียงในเวลาไม่กี่วัน และอย่างฉับพลันทันใดเสียด้วยซ้ำ...หากเป็นประเทศอื่นอาจย่ำแย่กว่า...แต่เพราะในยามวิกฤตเช่นนี้ คำว่า “อิตาลี” ได้หมดความสำคัญลง..มันไม่มีแล้วเขตแดน แคว้น ย่าน สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้มีลักษณะที่อยู่เหนืออัตลักษณ์และเหนือวัฒนธรรม ...การแพร่ระบาดเป็นเครื่องวัดว่า...โลกของเราเป็นโลกาภิวัฒน์เพียงใด เชื่อมโยงและเกี่ยวพันกันเพียงใด...! “ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้เป็นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ซึ่งนานๆจะมีสักครั้ง วันเสาร์ของปีอธิกสุรทิน จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่ได้รับการยืนยันว่ามีมากกว่า 85,000 คนและจำนวน 80,000 คน เฉพาะในประเทศจีน/จำนวนผู้เสียชีวิตเฉียด 30,000 คน../การนับอะไรแปลกๆเช่นนี้เป็นคล้ายเพลงประกอบชีวิตในแต่ละวันของผมมาอย่างน้อยหนึ่งเดือนแล้ว แม้แต่ตอนนี้ผมก็เปิดแผนที่ในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ไว้เบื้องหน้า พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อแสดงด้วยวงกลมสีแดง จีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หายไปใต้รอยเปื้อนขนาดใหญ่ แต่ทั่วโลกก็มีเม็ดสีแดงๆขึ้นเหมือนกัน และผื่นนี้มีแต่จะรุนแรงขึ้น..” ว่ากันว่า..การแพร่ระบาดเป็นความฉุกเฉินทางคณิตศาสตร์ก่อนเป็นความฉุกเฉินทางการแพทย์ เพราะแท้จริงแล้วคณิตศาสตร์ไม่ใช่ศาสตร์แห่งตัวเลขแต่เป็นศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ คณิตศาสตร์อธิบายความเชื่อมโยงและการแลกเปลี่ยนระหว่างเอนทิตีอันหมายถึงเอกลักษณ์ในเชิงปรัชญาที่แตกต่างกัน โดยพยายามลืมว่าเอนทิตีเหล่านั้นคืออะไร แล้วสรุปออกมาเป็นตัวอักษร ฟังก์ชัน เวกเตอร์ จุด และระนาบ/...เหตุนี้การแพร่ระบาดจึงคือ ภาวะติดเชื้อของเครือข่ายสัมพันธ์ของเรา... “ผมรู้ทุกอย่างเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้น เมื่อมองวงรอบสีแดงบนอิตาลี ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ เช่นเดียวกับทุกคน นัดหมายของผมในช่วงเวลานี้ ถูกยกเลิก เพราะมาตรการควบคุมการระบาด บางนัดผมเป็นคนเลื่อนเอง ผมมาอยู่ในความว่างเปล่าอย่างไม่คาดคิด มันคือสภาพปัจจุบันที่เหมือนกันของคนจำนวนมาก เรากำลังอยู่ ในช่วงคั่นเวลา ซึ่งกิจวัตรประจำวันหยุดลงชั่วคราว จังหวะหยุดชะงักคล้ายในบทเพลงบางเพลง เมื่อเสียงกลองเงียบไป แล้วเรารู้สึกเหมือนดนตรีกว้างออก โรงเรียนหยุด เครื่องบินผ่านท้องฟ้าเพียงไม่กี่ลำ เสียงฝีเท้าโดดเดี่ยวดังสะท้อนบนทางเดินในพิพิธภัณฑ์ ทุกหนแห่งเงียบกว่าปกติ” สิ่งสำคัญที่ชาวโลกต้องเข้าใจให้ได้อย่างถ้วนถี่ก็คือต้องแยกออกให้ได้ว่า..Sars-Cov-2คือไวรัส /ส่วนCovid-19คือโรค สองชื่อนี้จำยากและไม่บอกบุคลิก อาจเลือกมาเพื่อจำกัดผลกระทบทางอารมณ์ แต่มันถูกต้องชัดเจนว่า.. “ไวรัสโคโรนา” ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย Sars-Covid-2 เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบพื้นฐานที่สุดที่เรารู้จัก เพื่อให้เข้าใจการกระทำของมัน เราต้องเข้าไปอยู่ในความฉลาดอันโง่เขลาของมัน มองมันแบบเดียวกับที่มันมองเรา และอย่าลืมว่า Sars-Covid-2 แทบไม่สนใจสิ่งใดเกี่ยวกับตัวเราเลย ทั้งอายุ เพศ สัญชาติ หรือความชอบส่วนตัว /สำหรับไวรัส มนุษยชาติแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเท่านั้นคือ..Susceptible อันหมายถึงทุกคนที่มันจะแพร่เชื้อใส่ได้/ Infected หมายถึงพวกที่มันแพร่เชื้อใส่แล้ว และRecovered หมายถึงพวกที่มันแพร่เชื้อใส่ไม่ได้อีกSusceptible,Infected,Recovered:SIR “ตามแผนที่การแพร่ระบาดที่เต้นเร่าอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผม จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกในขณะนี้มีประมาณ 40,000คน/จำนวนผู้ไม่อาจติดเชื้อได้อีก ซึ่งได้แก่ผู้สูญเสียชีวิตกับผู้ที่หายแล้ว มีมากกว่าเล็กน้อย/..แต่กลุ่มที่ต้องจับตามองเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ได้แสดงไว้ เป็นมนุษย์ที่ Sars-Cov-2 ยังสามารถแพร่เชื้อไปได้ซึ่งมีจำนวน 7,500 ล้านคนหรือน้อยกว่านั้นนิดหน่อย…สมมติว่าพวกเราเป็นลูกบิลเลียด 7,500 ล้านลูก เราติดเชื้อได้ และอยู่นิ่งๆ แล้วลูกบิลเลียดที่ติดเชื้อลูกหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาหาเราด้วยความเร็วเต็มพิกัด ลูกบิลเลียดที่ติดเชื้อลูกนั้นเป็นผู้ป่วยหมายเลขศูนย์ และชนลูกบิลเลียดอีกสองลูกได้ทันก่อนที่มันจะหยุด สองลูกนั้นกระเด็นออกไปชนอีกลูกละสองลูก ไปเรื่อยๆ/..” การติดเชื้อเริ่มต้นเช่นนี้ เหมือนปฏิกิริยาลูกโซ่..ในช่วงแรกจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในแบบที่นักคณิตศาสตร์เรียกว่าการยกกำลัง.../ปัญหาที่ชวนหนักใจก็คือว่า..เราจะหยุดการแพร่ระบาดได้อย่างไร?..ด้วยวัคซีน?.../แล้วถ้าไม่มีวัคซีนล่ะจะทำเช่นไร?/หรือจะด้วยความอดทนอีกสักเล็กน้อย.. นักระบาดวิทยารู้ว่าวิธีเดียวที่จะหยุดการแพร่ระบาดได้ก็คือการลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ...อันหมายถึงว่า..ความหนาแน่นของคนต้องน้อยลง ปฏิกิริยาลูกโซ่จะหยุดชะงัก.../จริงๆแล้ววัคซีนมีพลังทางคณิตศาสตร์ในการทำให้เราเปลี่ยนจากการเป็นผู้ติดเชื้อ ให้เป็นผู้ติดเชื้อไม่ได้อีกโดยไม่ต้องป่วยก่อน ..ที่เราสนใจมันก็เพราะมันช่วยให้เรารอดจากไวรัส..แต่ผู้ที่สนใจมันมากยิ่งกว่า คือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ เพราะมันช่วยเราจากโรคระบาด..ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนทุกคนเสียด้วยซ้ำ แค่เพียงให้เป็นเปอร์เซ็นต์สูงถึงขีดที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” “แต่ Sars-Cov-2 คือมือใหม่ที่มีโชค มันเล่นงานพวกเราโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ไม่มีทั้งภูมิคุ้มกันและวัคซีน มันใหม่มากสำหรับเรา พูดในเชิงแบบจำลอง.. “SIR” คือความใหม่นี้หมายถึงเราทุกคนเป็น “Susceptible คือเป็นผู้ที่สามารถติดเชื้อได้...ดังนั้นเราจึงต้องอดทนเป็นเวลานานพอ...วัคซีนชนิดเดียวที่เรามีคือความไม่ประมาท ในรูปแบบที่อาจไม่น่ารักสักเท่าไหร่นัก” ที่สุดแล้วการแพร่ระบาดจึงหนุนให้เราต่างคิดว่า..เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มันบังคับให้เราต่างใช้ความพยายามทางจินตนาการในแบบที่เราไม่ชินในสถานการณ์ปกติ คือมองเห็นตัวเราเกี่ยวพันกับคนอื่นอย่างแยกไม่ออก และคำนึงถึงพวกเขาเมื่อตัดสินใจในแต่ละเรื่อง...ในช่วงของการแพร่ระบาดเราต่างเป็นชุมชน แล้วมันก็มีข้อโต้แย้งหนึ่งที่มักถูกยกขึ้นมาในห้วงเวลานี้..คือถ้าอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสตัวนี้ต่ำอย่างที่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพแข็งแรง แล้วทำไมคนโดยทั่วไปที่มีสถานะนอกเหนือจากนี้...ถึงควรต้องเลี่ยงและไม่ควรเสี่ยงดำเนินชีวิตตามปกติ../การปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมบ้าง..ไม่ใช่สิทธิมนุษยชนของพลเมืองผู้มีเสรีภาพทุกคนหรอกหรือ? ไม่..เราไม่ควรเสี่ยง อย่างน้อยก็ด้วยเหตุผลสองข้อ..ข้อแรกเป็นตัวเลข เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรค Covid-19 ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ จากการประเมินในปัจจุบัน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ราว 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อเท่านั้น ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล หากมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ก็หมายความว่า 10 เปอร์เซ็นต์นั้นมีจำนวนมาก มากจนเตียงไม่พอ แพทย์พยาบาลไม่พอ ถึงขั้นสาธารณสุขรับไม่ไหว เหตุผลประการที่สอง...เป็นมนุษย์ เกี่ยวข้องกับสับเซตที่เป็นผู้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย ซึ่งก็คือคนชรา และผู้มีสุขภาพแข็งแรง ทำตัวให้ไวรัสมาติดง่ายขึ้น....เราก็พาไวรัสไปหาคนเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ..ในช่วงแพร่ระบาด ผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อต้องปกป้องตัวเองเพื่อปกป้อง... “ดังนั้น ในช่วงแพร่ระบาด สิ่งที่เราจะทำหรือไม่ทำ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราคนเดียวอีกต่อไป เรื่องนี้ผมไม่อยากลืม..แม้แต่ตอนที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว...ผมจึงหาคำคมหรือสโลแกนเอาไว้ท่อง ผมเจอในบทความ “Science” ตีพิมพ์ปี 1972 มีข้อความว่า...More Is Different ตอนที่ ฟิลิป วอร์เรน แอนเดอร์สัน...เขียนบทความชิ้นนี้..เขาหมายถึงอีเล็กตรอนกับโมเลกุล แต่เขาพูดถึงเราด้วย กล่าวคือ ผลสะสมของการกระทำของเรา แต่ละคน ที่มีต่อส่วนรวมจะแตกต่างจากผลรวมของการกระทำของแต่ละคน หากเรามีจำนวนมาก พฤติกรรมแต่ละอย่างของเรา จะส่งผลทางนามธรรมต่อโลก ซึ่งยากจะเข้าใจ ในช่วงระบาด ความไม่ร่วมมือร่วมใจกัน หมายถึง ความบกพร่องทางจินตนาการเหนือกว่าสิ่งใด...” “เปาโล จอร์ดาโน”เกิดเมื่อปี 1982 ที่เมืองตูริน จบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาฟิสิกข์ทฤษฎี มีผลงานนวนิยายมา 4เรื่อง และได้รับรางวัลสเตรกา(Premio Strega)ในปี2008ซึ่งถือเป็นรางวัลทางวรรณกรรมอันทรงเกียรติของอิตาลี ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในกรุงโรม..เขาใช้ความว่างเปล่าในช่วงการกักตัวเอง (Self Quarantine)ไปกับการเขียนหนังสือเล่มนี้...เพื่อกันลางสังหรณ์ออกไปให้ไกล และหาวิธีที่ดีที่สุดในการคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดและกำลังจะเกิดในการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 นับเนื่องถึงวันนี้...สถานการณ์ของโรคร้ายนี้..ยังแก้ไขอะไรอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้...ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างพากันเจ็บป่วยหนักขึ้นและเพิ่มจำนวนจากจุดเริ่มต้นอย่างน่าสะพรึงกลัว .. “ในการแพร่ระบาด”...จึงเปรียบเป็นหนังสือที่ปลุกตื่นให้เราได้ตื่นตัวเรียนรู้ที่จะเฝ้าดูแลตัวเอง อย่างถึงแก่นรากแห่งที่มาที่ไปของโรคที่กำลังทำร้ายทำลายโลกนี้อย่างโหดร้ายและมืดดำ...มันคือหายนะแห่งยุคสมัยที่โบยตีเหล่ามวลมนุษย์ผู้เคยหยิ่งทะนงและหลงติดอยู่กับอำนาจอันเปรียบดั่งมายาคติของตัวตนจนโงหัวไม่ขึ้น...ให้ได้ตระหนักถึงความเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างจริงจัง..เสียบ้าง “เรานับจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้รักษาหาย เรานับจำนวนผู้เสียชีวิต เรานับจำนวนผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และนับวันที่ไม่ได้ไปโรงเรียน นับจำนวนหน้ากากอนามัย และชั่วโมงที่เหลือก่อนรู้ผลการตรวจเชื้อ เรานับจำนวนกิโลเมตรจากพื้นที่เสี่ยง และนับห้องโรงแรมที่ถูกยกเลิก เรานับจำนวนความสัมพันธ์ของเรา ความเสียสละของเรา และเราก็นับวัน นับแล้วนับอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่คั่นเราให้ห่างจากการสิ้นสุดของภาวะฉุกเฉิน../.นับวัน และพยายามให้ได้มาซึ่งหัวใจอันเปี่ยมด้วยปัญญา โดยอย่ายอมให้ความทุกข์ทรมานทั้งหลายเหล่านั้น...ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์...!”