"บิ๊กตู่"ถก"ซีอีโอ"จากบริษัทชั้นนำของไทยและต่างประเทศ พร้อมให้ความเชื่อมั่นนักลงทุน ชี้ไทยมีแผนยุทธศาสตร์รองรับการลงทุนในพื้นที่"อีอีซี"อย่างต่อเนื่อง ยกระดับโลจิสติกส์ครบวงจร รถ ราง เรือ อากาศ ย้ำเป้าหมาย"เชื่อมไทย เชื่อมโลก"
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 1 ต.ค.63 ที่สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมรับฟังรายงานสรุปโครงการท่าเรือบก (Dry Port) ท่าเรือแหลมฉบัง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภายใต้การเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน พร้อมทั้งเป็นประธานการประชุมกับนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำ อาทิ ปตท. จำกัด Mitsubishi Motor (Thailand) QMB Co., Ltd เพื่อส่งเสริมการลงทุนใน EEC ในยุค New Normal
นายกฯ กล่าวว่า ในนามรัฐบาลขอขอบคุณภาคเอกชนทุกคนที่เชื่อมั่นในรัฐบาลนี้ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในพื้นที่EEC อย่างต่อเนื่อง โดยจะเชื่อมโยงการขนส่งในทุกด้าน จึงอยากให้นักลงทุนเข้าใจตรงกัน เพราะนี่คือโอกาสในการลงทุนและเป็นความท้าทายของรัฐบาล ในการจะขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย โดยเฉพาะให้กับคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ นี่คือแผนพัฒนาประเทศต่อไป ถึงแม้ว่าจะเจอกับปัญหาที่เพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลไม่เคยหยุดคิด แต่กลับวางยุทธศาสตร์ชาติเพื่อวันข้างหน้า เพื่อเป็นอนาคตของประเทศและทุกๆคน
วันเดียวกัน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พบปะผู้บริหารระดับสูง (CEO ) จากบริษัทชั้นนำของไทยและต่างประเทศ ส่งเสริมการลงทุนใน EEC ในยุค New Normal โดยนายกฯ ขอบคุณนักลงทุนที่เชื่อมั่นและมีการขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง COVID-19
นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ ย้ำว่ารัฐบาลก็ไม่เคยหยุดคิด ยังคงมุ่งทำงานเพื่อวางรากฐานประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไป ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทุกการลงทุนในทุกพื้นที่ทั้ง EEC และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไทยนำหลักการด้านสิทธิมนุษยชนมาใช้ในภาคธุรกิจเป็นประเทศแรกในภูมิภาคด้วย ในส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานใหม่ ซึ่งงาน JOB EXPO ที่จัดขึ้นได้รวบรวมงานทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 1 ล้านอัตรา รวมทั้งการวางรากฐานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ตามทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2560 เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ตอบโจทย์การลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต แม้ช่วงวิกฤติ COVID การลงทุนใน EEC ก็ยังอยู่ในระดับสูง ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีคำขอรับการส่งเสริมใน EEC จำนวน 277 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 85,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 54 ของคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ ทั้งนี้ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่าง ๆ ใน EEC ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการเมืองการบินอู่ตะเภา โครงการขยายท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด รวมทั้งโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรม EECi ที่จังหวัดระยอง ได้ผู้ชนะการประมูลครบถ้วนแล้ว
"นายกฯ เชิญชวนนักลงทุนไทยและต่างชาติ ทั้งการลงทุนในไทยทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลเตรียมความพร้อมทั้งด้านโลจิสติกส์ ระบบรถไฟความเร็วสูง สาธารณูปโภค แหล่งน้ำเพื่อการบริโภคและอุตสาหกรรม รวมทั้งแรงงานฝีมือทั้งในและนอกระบบเพื่อตอบสนองการลงทุนของภาคเอกชน พร้อมเชิญชวนให้เอกชนแสวงหาโอกาส หรือเพิ่มการลงทุนที่ก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ผลิตภัณฑ์สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ เกษตรและอาหาร ซึ่งรัฐบาลพร้อมนำข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนทั้งการส่งเสริมนวัตกรรม จะเร่งรัดดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุนและประกอบธุรกิจในไทย มั่นใจว่ารัฐบาลและนักลงทุนจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็งต่อไป"
นายอนุชา กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านั้น นายกฯ ประชุมแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานและองค์กรของไทย อาทิ ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี อธิบดีกรมศุลกากร โดยย้ำการเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่ายโลจิสติกส์ของภูมิภาคทั้งการขนส่งสินค้าและการสัญจร โดยที่ประชุมได้มีการรายงานแผนงานเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ทั้งโครงการท่าเรือบก (Dry Port) ที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรทางถนน ลดความคับคั่งของท่าเรือ ด้วยการขนส่ง 2 ระบบ โดยเฉพาะทางราง โครงการเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน หรือ Land Bridge ด้วยท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งไทยเชื่อมด้วยถนน Motorway ราง และรถไฟ เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ การขนส่งของประเทศและสามารถขยายศักยถาพเชื่อมมหาสมุทรอินเดียและเอเชียใต้ และโครงการสะพานไทย
"ซึ่งหลักการสำคัญที่นายกฯ ได้กำชับในการศึกษาทั้ง 3 โครงการนั้น ต้องสร้างความเชื่อมโยงให้เห็นความคุ้มค่าในการลงทุน และเกิดผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจระหว่างทางด้วย โดยใช้รูปแบบการลงทุนแบบ PPP เพื่อประหยัดงบประมาณเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือประชาชน โดยนายกฯ กำชับว่าการดำเนินการทุกอย่างโปร่งใส ไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน โดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ ทุกหน่วยงานต้องเร่งทำงาน ใช้ช่วงโควิด-19 เตรียมพร้อมประเทศ เสริมความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่สามารถเปิดรับเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 ผ่านได้ทันที" โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว