วันที่ 1 ต.ค.63 นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า "ได้ยินคำถามบ่อยขึ้นจากคนรุ่นใหม่ ว่าคนรุ่นเก่าวันๆทำอะไรบ้าง? ผมมีปู่แท้ๆชื่อคุณปู่จรัส ยามะรัต เป็นคนจีนสุพรรณบุรี นามสกุลไม่โด่งดัง แต่ตั้งใจเล่าเรียนจนได้เป็นนักเรียนทุนในหลวงที่ ม. John Hopkins และจบปริญญาเอกที่ ม. Harvard กลับมาประเทศไทยมาประจำที่ภาควิชาไมโคร ไบโอโลยี (ชื่อในขณะนั้น) ม.มหิดล ภายหลังเปลี่ยนเป็นภาควิชาจุลชีวะวิทยา ระบบสาธารณสุขไทย ณ เวลานั้นยังเป็นส่วนหนึ่งในการก่อร่างสร้างไทยให้เป็นเลิศทางสาธารณสุขจากวิสัยทัศน์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จย่า เพื่อแก้ปัญหาคนไทยมีอัตราการตายสูง เนื่องด้วยไทยเราอยู่ในเขตประเทศเขตร้อนชื้น มีโรคร้ายเขตร้อนชุกชุม อายุเฉลี่ยชายไทยก่อนปี 2500 มีไม่ถึง 50 ปี คุณปู่จรัส เป็นผู้นำเชื้อไข้เลือดออกบินไปทำการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา จนประสบความสำเร็จในการสู้กับโรคร้ายนี้ได้เป็นครั้งแรก ม.มหิดล และคุณปู่ ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นถึงการเอาจริงของคนไทยต่อการวิจัย จนทำให้มูลนิธิ Rockefeller ให้เงินสนับสนุนการวิจัยต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ ผมยังจำความได้ว่าในขณะที่คุณปู่เกษียณแล้ว ก็ยังใช้บ้านสุขุมวิท 39 เป็นฐานบัญชาการการวิจัยระหว่างไทย และทั่วโลก โดยมีคนมากมายมาขอให้คำปรึกษา เช่น อ.เทพพนม เมืองแมน ที่จบ Harvard เหมือนกัน และแม้จะผ่านงบประมาณมากมาย ผมกล้าพูดอย่างภูมิใจว่าในวันที่ท่านเสีย ท่านเหลือเงินในบัญชีเพียงไม่ถึง 5,000 บาท ซึ่งเป็นอีกการพิสูจน์ว่าทำไมผู้ใหญ่ในยุคนั้นทำอะไรๆสำเร็จมามากมาย โดยบ้านเมืองไม่ผุกร่อน แตกต่างจากข้าราชการ และนักการเมืองรุ่นใหม่โดยสิ้นเชิง ปัจจุบันคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล กลายเป็นสถาบันวิจัยติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกอย่างเงียบๆโดยไม่มีคนไทยรู้มากนัก แต่เป็นแหล่งวิจัยโด่งดังที่ช่วยเหลือทั้งนักวิจัยไทย และนักวิจัยทั่วโลกจำนวนมหาศาล ในวันนี้โครงสร้างการสาธารณสุขที่ริเริ่ม และต่อสู้ด้วยคนรุ่นเก่าอย่างเหน็ดเหนื่อย กลับมาช่วยคนไทยอีกครั้งในวิกฤติ Covid-19 จนไทยได้ตำแหน่งประเทศที่จัดการวิกฤตินี้ได้ดีที่สุดในโลก การที่คนไทยยังใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ในขณะที่ทั่วโลกเกิดวิกฤติ ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มันคือการ “ลงมือทำ” โดยไม่สน “ความเหน็ดเหนื่อย” ของคนรุ่นก่อน ผมแค่อยากให้สังคมไทยรู้ว่าคนไทยเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เค้าทำอะไรกัน? ขยัน ไฝ่รู้ พอเพียง ไม่เกินตัว หมั่นพัฒนาตัวเอง เสียสละ และลงมือทำอย่างมุ่งมั่น คือสิ่งที่คน Gen X ตอนปลายอย่างผมพอจะจำได้ นายพงศ์พรหม โพสต์ในคอมเม้นท์อีกว่า "ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ๆได้เห็นว่า คนรุ่นเก่าๆตัวจริงเค้าทำอะไร คนเหล่านี้พูดน้อย ต่อยหนัก ต่างจากคนรุ่นเก่าบางพวกที่มาปลุกปั่นคนรุ่นใหม่ให้ชังชาติบ้าง ด่าบรรพบุรุษบ้าง คนรุ่นเก่าเหล่านั้นเป็นพวกไม่ทำ ไม่มีเพื่อน เพราะได้แต่ด่า วันนี้คนๆนึงก็ต้องไปตกระกำลำบาก แต่หัวหงอกด่าชาติต่อไปในต่างแดน อีกคนก็ว่าง ก็เลยได้ไปเป็นถึงอดีตอธิการบดี ม.ดัง แถวท่าพระจันทร์ ที่วันๆยุเด็กให้ชังชาติ ส่วนตัวเองยืนยุอยู่ข้างหลัง คนเหล่านี้ Useless"