นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2563 (ต.ค.62-ก.ย.63) ว่า กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บได้รวม 5.46 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย เดิมเป้าหมายจัดเก็บใหม่ที่ 5.01 แสนล้านบาท หลังประเมินผลกระทบจากโควิด-19 ยอมรับว่าหืดขึ้นคอ เพราะโควิด-19 ทำให้มีการล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด แต่พอเริ่มเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตัวเลขจัดเก็บก็เริ่มกลับมาช่วงไตรมาส 4 ปีงบประมาณ 63 สำหรับรายได้ภาษีที่สามารถจัดเก็บได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 221,140.28 ล้านบาท 2.ภาษีรถยนต์ จำนวน 84,347.28 ล้านบาท 3.ภาษีเบียร์ จำนวน 80,012.64 ล้านบาท 4.ภาษีสุรา จำนวน 61,205.39 ล้านบาท 5.ภาษียาสูบ จำนวน 62,761.24 ล้านบาท ขณะที่การจัดเก็บรายได้ของสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2564 ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 5.3 แสนล้านบาท ปรับลดลงจากเดิมที่ 6.3 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้ภาครัฐบริหารกระแสเงินสดให้เพียงพอเดือนละ 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคนละส่วนกับเงินคงคลังเพราะเป็นเงินสดที่ไหลเข้ารายวัน ทั้งนี้ฝากงานที่ยังค้างให้นายลวรณ แสงสนิท ว่าที่อธิบดีกรมสรรพสามิตคนใหม่สานต่อคือ การการขยายฐานภาษี ปรับปรุงการจัดเก็บให้มีประสิทธิภาพ ส่วนภาษีตัวใหม่พิจารณาไว้หมดแล้ว ให้อธิบดีคนใหม่มาตัดสินใจต่อ ทั้งภาษีความเค็ม ภาษีเบียร์ 0% รวมทั้งภาษีที่น่าสนใจอื่นๆเช่น เครื่องดื่มผสมสารสกัดจากกัญชา (CBD) ที่มีแนวโน้มเป็นโอกาสในการขยายการจัดเก็บของกรมได้ในอนาคต แต่ต้องหารือกับกระทรวงสาธารณสุขให้รอบด้านก่อน